ปัจฉิมพุทธพจน์ดังกล่าวแสดงความเป็นอริยสัจขั้นสุดยอด หมายถึง รวมที่สุดแห่งความจริงไว้ที่มรณะ คือ ความตายแตกสลายเสื่อมไปของรูปนามหรือขันธ์ ๕ นี้ อันสัตว์ทุกข์ทั้งหลายไม่ควรทะยานอยากเข้าไปยึดถือว่า เป็นตัวกูของกู!!
การรู้แจ้งจริงจนเกิดความเบื่อหน่ายให้นำไปสู่การจางคลายออกจากความชอบ-ความชัง ให้ดับสิ้นความกำหนัดยินดีได้ จึงเป็นเรื่องที่ควรถูกประโยชน์โดยธรรมตามหลักคำสั่งสอนในพุทธศาสนา อันให้ผลสัมฤทธิ์ถึง ความสิ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ดังนั้น คำสั่งสอนในพุทธศาสนาของเรา จึงสรุปลงในความไม่ประมาทต่อการดำเนินชีวิตไปตามอายุขัยที่มีอยู่ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งสรุปในกาลปัจจุบันอายุขัยของสัตว์อยู่ที่ประมาณ ๗๐-๗๕ ปีเป็นที่สุด
หากอยู่ได้มากกว่านั้นก็นับว่าเป็นกำไรชีวิตที่ยมทูตแถมให้ หวังว่าให้สัตว์มนุษย์ประกอบกุศลกรรมให้มากยิ่งเท่าที่พึงจะทำได้ เพื่อประโยชน์ต่อยอดกุศลธรรมสืบไปในสัมปรายภพ
แม้สัตว์มนุษย์เราจะเข้าใจกันดีว่า ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้าได้ (เพราะจริงๆ แล้วแม้ฟ้าก็ยังมีกาลอวสาน) แต่การใช้ชีวิตโดยประมาทนั้นให้ดูเหมือนเราไม่ใส่ใจกับ วันสิ้นแห่งอายุขัยของชีวิตตน
จึงมีปรากฏการณ์บุคคลในสังคมที่มีวัยแก่ชรามากมาย ยังใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปตามกระแสโลก อย่างมิยอมหยุดพักดุจดังหนุ่มน้อย ดรุณีแรกรุ่นทั้งหลายที่อยู่ในวัยเพลิดเพลินหลงใหลอยู่กับโลก ที่จินตนาการว่าสวยงามน่าชื่นชมยินดี
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย จึงได้ทรงตรัสกับภิกษุสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา (กรุงเวสาลี) ว่า
พวกเธอจงไม่ประมาท มีสติ มีศีลด้วยดีจงมีความดำริตั้งมั่น ตามรักษาจิตของตนเถิด และทรงตรัสต่อไปว่า ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสังขาร จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
ใน อัปปมาทธรรม หรือ ธรรมเพื่อความไม่ประมาทนั้น ทรงย้ำเตือนภิกษุมิให้ตั้งอยู่ในความประมาทอยู่เสมอ ดังที่ทรงตรัสเป็นพระคาถาหนึ่ง แปลความได้ว่า
คนเหล่าใดทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า.......ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้น ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิด
นอกจากพระภาษิตที่ทรงแสดงให้เป็นธัมมานุสติแก่ภิกษุและบริษัททั้งหลายแล้ว ยังได้ทรงสั่งสอนให้รู้จักการเจริญภาวนาอบรมจิต
ใน มรณานุสติกรรมฐานวิธี โดยทรงตรัสว่า"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ ที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า ภิกษุปฏิบัติได้อย่างนี้ชื่อว่า ย่อมไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งปวง"
และทรงได้สั่งสอนเพิ่มต่อมาว่า... ให้มีฉันทะ วิริยะ สติ และสัมปชัญญะ เพื่อละธรรมบาปอกุศล ....โดยให้เจริญสติสัมปชัญญะ อย่างมีฉันทะและความเพียรชอบ เพื่อนำไปสู่การมีปัญญาอันชอบในการรู้แจ้งเห็นจริงตามอริยสัจทั้ง ๔ ประการ...
นี่คือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ที่ชี้ให้เห็นเป้าหมายจัดวางวัตถุประสงค์ให้ถูกตรงตามเป้าหมาย และจัดแนวปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ที่มีเป้าหมาย คือสัจจะเป็นธงที่จะต้องไปให้ถึง... อันได้แก่ พระนิพพานนั่นเอง...
เมื่อพระนิพพานเป็นเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึงอันหมายถึง ความดับทุกข์สิ้น จึงเป็นธรรมดาที่พุทธศาสนาจะต้องวางหลักการเรียนรู้ไปสู่ ตัวทุกข์ อันปรากฏเป็นสามัญลักษณะที่วางควบคู่อยู่กับ อนิจจัง...ซึ่งชี้แจงแสดงให้เห็นความจริงขั้นสุดยอดในธรรมชาติที่รวมลงใน กฎอนัตตา...
เราจึงพบการสั่งสอนให้เข้าใจ-เข้าถึง เพื่อรู้แจ้งจริงในสามัญลักษณะธรรมทั้ง ๓ ตามที่กล่าว ซึ่งไม่ว่าหยิบข้อธรรมอันใดมาพิจารณา ก็จะพบเห็นอีก ๒ ส่วนติดมาด้วย เพื่อการเข้าใจในความเป็นจริงของความมีอยู่จริงในธรรมชาติ อันเป็นกฎความจริงแท้ที่เรียกว่า ธรรมนิยาม
เราจึงเห็นคำสั่งสอนส่วนใหญ่ แสดงแจกแจงลงไปที่ อนิจจัง.. ทุกขัง.. อนัตตา โดยการแสดงให้เห็นว่า รูปนามที่เรายึดถือเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้ว...ไม่เที่ยง (อนิจจัง) โดยแสดงให้เห็นจริงว่า...ความไม่เที่ยงที่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดานั้น เพราะไม่มีความเป็นว่า ธรรมนิยาม
เราจึงเห็นคำสั่งสอนส่วนใหญ่ แสดงแจกแจงลงไปที่ อนิจจัง.. ทุกขัง.. อนัตตา โดยการแสดงให้เห็นว่า รูปนามที่เรายึดถือเป็นตัวตนนั้นแท้จริงแล้ว...ไม่เที่ยง (อนิจจัง) โดยแสดงให้เห็นจริงว่า...ความไม่เที่ยงที่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดานั้น
เพราะไม่มีความเป็นตัวตนบุคคลเราเขา อันสามารถถือครองเป็นใหญ่ หรือบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างนั้น เป็นไปอย่างนี้ได้ และที่สุดแห่งความจริงคือ ว่างเปล่า (สุญญโต)
ในเวลาแห่งชีวิตที่ยังมีเหลืออยู่ ณ วันนี้ หากยังพอมี สติสัมปชัญญะที่สามารถพากเพียรเรียนรู้ เพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาได้นั้น... อาตมาใคร่แนะนำให้รู้จักการเพียรระลึกถึงความตายให้มากๆ ให้บ่อยๆ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท การประกอบแต่การอกุศลอย่างไม่ลืมหูลืมตา...คงไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับทรัพย์สินเงินทอง บริวารญาติมิตร แม้ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือเกียรติยศชื่อเสียงที่โลกปั้นแต่งขึ้นมาไว้หลอกลวงพวกสัตว์โง่งมที่มีจิตอ่อนแอเล่น เพื่อผูกยึดสัตว์เหล่านั้นไว้เป็นทาสบริวารของโลก...
ทั้งนี้ เพราะการไม่ได้ระลึกถึงความตายเป็นอนุสติ จึงทำให้ขาดสติปัญญา ดำเนินชีวิตไปอย่างประมาท สุดท้ายจึงไม่มีสาระธรรมอะไรเลยในชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่งเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา กล่าวได้ว่า เป็นการเกิดมาอย่างสูญเปล่า มีแต่โทษ หาคุณไม่ได้เลย จึงไม่ต้องพยากรณ์ผลที่จะเกิดปรากฏในเบื้องหน้าให้เสียเวลาเจริญสติ... เพราะจะมีแต่ความหายนะส่วนเดียวอย่างแน่นอน
วันนี้อาตมาให้ระลึกถึงการลาจากไปของโยมพ่อ ซึ่งได้ลาจากโลกนี้ไปขณะอาตมานั่งแสดงธรรมนำมหาชนปฏิบัติภาวนา ณ ลานอนุสาวรีย์พระนางเจ้าจามเทวี โดยมีพลตำรวจตรีกริช กิติลือ ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดลำพูน ดร.นิรันดร ด่านไพบูลย์ คุณนิชาดา สุริยเจริญ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้นำข้าราชการตำรวจและประชาชน ร่วมประกอบศาสนกิจในงานไหว้สา-บูชาธรรม ครั้งที่ ๒ เนื่องในงานเทศกาลเดือนสิบ โดยมีจุดมุ่งหมายของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อการพลีบุญอุทิศกับญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยมีการถวาย สังฆทานในรูปมตกภัต ซึ่งในห้วงเวลาที่อาตมากำลังกล่าวประกาศ ปัตติทานคาถา ท่ามกลางที่ประชุมของสาธุชน โยมพ่อของอาตมาได้ลาจากไปจากโลกนี้ในห้วงเวลาที่อาตมากำลังประกาศพลีอุทิศกุศลด้วยความหมายที่ว่า
สัตว์ทั้งหลายไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จงมีส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วในบัดนี้ และแห่งบุญอื่นที่ทำไว้ก่อนแล้ว คือจะเป็นสัตว์เหล่าใดซึ่งเป็นที่รักใคร่และมีบุญคุณ เช่น มารดาบิดาของข้าพเจ้าเป็นต้นก็ดี... สัตว์เหล่านั้น รู้ส่วนบุญที่ข้าพเจ้าแผ่ให้แล้ว จงอนุโมทนาเองเถิด...ฯลฯ
จึงขออนุญาตบันทึกไว้เป็นอนุสติในเหตุการณ์ดังกล่าวที่สอดคล้องกันโดยธรรม ให้อาตมาได้กระทำการกุศลอันยิ่ง
โดยการนำมหาชนแผ่ส่วนบุญกุศลอุทิศให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับเทศกาลวันเพ็ญเดือนสิบที่ชาวพุทธเรานิยมทำทานอุทิศบุญแผ่กุศล... ซึ่งแม้อาตมาก็ยังต้องกระทำเพื่อประโยชน์สุขแห่งสัตว์ทั้งหลายที่ควรแก่การระลึกถึงกัน...
นี่คือวิถีพุทธที่สะอาดสวยงาม ยากที่จะหาคำสั่งสอนในศาสนาใดมาเสมอได้.
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 20 กันยายน 2556 00:00:32 น.
สาธุพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านอาจารย์ฯ และ อาจารย์แพร เป็นบทบันทึกที่ให้กำลังในการปฏิบัติในเส้นทางแท้จริง