เด็กบ้านนอก คอกนาอย่างผมนั้นมีบุญเหลือหลายที่มีผู้อุปถัมภ์ให้เข้ามาเรียนหนังสือในมหานครระดับเตรียมอุดมศึกษา เพราะมีเรื่องยาวที่เป็นเหตุที่มาของโอกาสนี้ สรุปสั้นๆคือ คุณตาท่านพาญาติพี่น้องเดินทางจากบ้านสวน สำเหร่ ธนบุรีไปเยี่ยมยามญาติห่างๆที่วิเศษชัยชาญ ด้วยสำนึกว่าสมัยที่หนีภัยสงครามมหาเอเชียบูรพานั้นท่านหอบครอบครัวมาฝากชีวิตไว้ที่ญาติในหมู่บ้านนี้ จึงอยากมาระลึกถึงบุญคุณกัน บังเอิญ พ.ศ.นั้นประมาณ 2508 ในหมู่บ้านผมนั้นมีบ้านผมบ้านเดียวที่มีส้วมซึม นอกนั้น เข้าป่าละเมาะข้างหมู่บ้านกัน..จริงๆให้ดิ้นตายซิ... เพราะพ่อผมเป็นครูประชาบาล ต้องทำเป็นแบบอย่างและอาจเป็นเพราะมีชวดหญิงที่แก่เฒ่ามากแล้วการไปป่ายามจะปลดปล่อยนั้นยากลำบากจึงทำส้วมซึมไว้ที่บ้าน...
คุณตาเห็นผมทำงานบ้าน ตักน้ำ กวาด ถู บ้าน ฯลฯ ช่วยพ่อแม่ในงานบ้านเหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไปที่พ่อแม่ก็ใช้ลูกหลานทำงานนั่นแหละ.. คุณตาจึงออกปากว่า เด็กคนนี้จบ มศ 3 แล้วอยากเรียน มศ 4-5 ก็ไปเรียนที่กรุงเทพได้นะไปพักที่บ้านได้... นั่น..คือที่มาที่ผมมีบุญได้มาเรียนเตรียมอุดมที่โรงเรียนแถวสำเหร่
คุณตาเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนใกล้บ้าน คุณน้าเป็นครูภาษาอีกโรงเรียนหนึ่งไกลออกไป ลูกสาวคุณน้าสามคนกำลังทยอยเข้าโรงเรียน อ้น อ้อย อ่อน สามพี่น้อง สามสาว ทุกเช้า อ้น กับอ้อยจะไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกับผม เธออยู่ ป. 3 กับ ป. 2 มั๊ง.. ทุกเช้าคุณน้าจะเตรียมตัวบุตรสาว แล้วส่งให้ผมพาไปโรงเรียนพร้อมกัน ทุกเช้าผมจะหิ้วกระเป๋าผมและกระเป๋าอ้นมือหนึ่ง แล้วอีกมือหนึ่งยื่นนิ้วให้อ้น หรือไม่ก็อ่อนจับนิ้วผม แล้วเราก็เดินไปสามคน ไปโรงเรียน เลิกเรียน ผมก็ไปรับเธอก็จะจับนิ้วผมกลับบ้าน ทุกวันเป็นเช่นนั้น
ผมจบเตรียมอุดมศึกษาสอบไปเรียนเชียงใหม่ได้ เราก็เริ่มห่างกันไป นานๆผมจะแวะไปกราบคุณตาคุณยาย ตามประสาวัยรุ่นที่กำลังสนุกกับเพื่อน และกิจกรรมในมหาวิทยาลัย
อ้นเติบโตตามลำดับจนเรียนจบปริญญาโทจากออสเตรเลียกลับมาทำงานเมืองไทย
ปี 2535 เช้าวันหนึ่ง อ้นไปทำงานตามปกติแถวสุขุมวิท เพื่อนเห็นอ้นมีอาการผิดปกติ แล้วฟุบลงไป เพื่อนๆตกใจพากันอุ้มไปส่งบำรุงราษฏร์ รพ.ที่ใกล้ที่สุด หลังจากที่หมอรับตัวและตรวจสอบพบเส้นเลือดใหญ่ที่ก้านสมองแตก ต้องผ่าตัดด่วนที่สุด จากคำบอกเล่าต่อกันมากล่าวว่า หมอถามว่ากล้ารักษาไหม มีเงินรักษาไหม เพื่อนๆได้นามบัตรคุณน้าจึงโทรถามแล้วคำตอบคือกล้า เท่าไหร่เท่ากัน.. หมอบอกว่าเมื่อมีดหมอกรีดลงไปตรงบริเวณอาการนั้น เลือดพุ่งมาเหมือนน้ำพุ
ตั้งแต่ปี 35 จนถึงปัจจุบัน อ้นนอนบนเตียงเหมือนผัก เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ทำตาปริบๆ ขยับอะไรไม่ได้เลย อยู่ในอาการเกร็งหมอต้องเอาตุ๊กตาเล็กๆสอดเข้าในมือเพราะนิ้วเธอกำแน่นบนฝ่ามือปล่อยไว้นานๆอาจเกิดบาดแผลได้ จ้างคนดูแล 24 ชั่วโมง ต้องนอนที่ รพ.เท่านั้น เอากลับบ้านแล้วหากเกิดอะไรขึ้นช่วยไม่ได้ ปลอดภัยที่สุดคือเอาโรงพยาบาลเป็นบ้าน ค่าใช้จ่ายเดือนละแสนกว่าในเวลาปกติ หากมีอะไรก็จ่ายมากกว่านั้น ตลอดเวลาปี 35 จนปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายที่แม่มีให้กับลูกสาวที่เป็นเหมือนผักนั้นมากกว่า 20 ล้านไปแล้ว
บ่ายวันนั้น ผมนั่งกำมืออ้นอยู่ข้างเตียง บางครั้งผมไปพูดที่ข้างหูว่า พี่ไพศาล มาเยี่ยมอ้นนะ ผมเอามือลูบใบหน้าเธอ ลูบหัวเธอ เธอกระพริบตาสองสามที เหมือนเป็นคำตอบการรับรู้..
ผมนั่งกำมือเธอนานเป็นชั่วโมงรำลึกอดีตที่ผ่านมา รำลึกถึงชีวิต...แบบไหน อย่างไร..เพื่ออะไร..กัน ฯลฯ
คุณน้าวันนี้วัย 80 เศษ บอกว่า เงินเหมือนเศษกระดาษ
จะอย่างไรก็ตามเถอะ ลูกจะอยู่ในสภาพไหน แม่ก็มอบความรักให้สุดตัว....สุดหัวใจ
คำพูดคุณน้าพร้อม เอื้อมมือไปลูบหัวลูกรัก
แม่สู้หมดตัว..ลูก..เพื่อลูกรัก..
ซาบซึ้งความรักของแม่ค่ะ และคุณอ้นก็ซาบซึ้งตลอดมาและตลอดไป
ซาบซึ้งคำพูดมากๆครับ
แม่สู้หมดตัว..ลูก..เพื่อลูกรัก..
ขอบคุณพี่บางทรายมากๆครับ
ขอบคุณ คุณบางทราบ ที่ถ่ายทอด "บันทึกคุณภาพ" อย่างประทับใจ....
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มากนะคะ...อ่านแล้วซาบซึ้งมากค่ะ
ขอบคุณ คุณ Joy และ ดร.พจนา ครับ ในความรู้สึกผม ผมอยากให้คุณน้าได้รับรางวัลแม่ดีเด่น อะไรทำนองนั้น ที่เฝ้าดูแลลูกเหมือนผักมาได้ถึง 21 ปีแล้วในสภาพเช่นนั้น วัยคุณน้าที่ร่วงโรย ก็เป็นกังวลต่อสภาพของลูกมากขึ้น แต่ก็ทุ่มเทสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ลูกที่อยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่จริงๆคุณน้าไม่ต้องการรางวัลใดๆ หากจะมีรางวัลก็ควรจะเป็นรางวัลชีวิตคือให้ลูกอ้นดีขึ้น มาอยู่ในสภาพใกล้เคียงปกติ แต่นั่นก็เป็นเพียงฝัน อย่าไปฝันดีกว่า ทำสิ่งที่เป็นจริงนี้ให้ดีที่สุดนั่นคือสุดยอดของการปฏิบัติที่แม่พึงมีต่อลูก นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ชีวิตที่ปกติพึงปฏิบัติต่อชีวิต..ที่ไม่ปกติ ครับ
ขอบคุณทั้งสองท่านครับ
-สวัสดีครับ...
-ตามมาให้กำลังใจครับ..
-ขอบคุณครับ