ติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.naewna.com/columnist/1104
ไม่น่าเชื่อว่า พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 3 วาระ มีความสำคัญถึงขนาดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยอย่างที่ไม่คาดมาก่อน
คนไทยที่อ่านบทความวันนี้หรืออีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า ก็คงจะต้องนำไปวิเคราะห์ให้ดีว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับการเมืองไทย และผลกระทบต่อประเทศไทยในระยะยาวอย่างไร
ผมขอใช้เวลาวิเคราะห์เพิ่มเติม การแปรญัตติของคุณประยุทธ์ ศิริพานิชย์
-ทำไมเริ่มตั้งแต่ปี 2547 และมาถึงปี 2556 เป็นการเมืองที่รุนแรงจริงๆ เมื่อเริ่มการปฏิวัติ การนิรโทษกรรมแค่ปี 2549 มาถึง 2553 นี่แสดงว่า จงใจนิรโทษยกเข่ง ย้อนไปถึงกรณีตากใบและกรือเซะด้วย คาดว่ามีคดีคอร์รัปชั่นเช่นเรื่องจำนำข้าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย จึงเชื่อมโยงมาถึงปี 2556 ซึ่ง 2554-2556 ไม่มีปัญหาทางการเมืองเลย นิรโทษไปทำไม
การมีอำนาจเผด็จการในสภาและฝ่ายค้านน้อยกว่าคิดว่าคุมกำลังตำรวจและทหารได้จึงผ่านวาระ 2-3 ช่วงตี 4 ครึ่งเป็นไปได้อย่างไร
สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
แก้วสรร อติโพธิขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ณ เวทีประชาชน ราชดำเนิน
อย่างไรก็ตาม พลังมหาประชาชนที่ออกมาในช่วงนี้คงสร้างความประหลาดใจให้ทักษิณและนายกฯ ยิ่งลักษณ์และลิ่วล้อไม่ใช่น้อย ในที่สุดก็ถอยกรูด คว่ำกฎหมายในวุฒิสมาชิกด้วย คะแนน 141: 0 ยังหาทางฆ่ากฎหมายฉบับนี้ยังไม่ได้ เพราะต้องรออีก 180 วัน แต่ก็ไม่มีใครไว้ใจรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ต่อไปอีกแล้ว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ปรากฏการณ์ที่ราชดำเนินเกิดได้อย่างไร จุดติดอย่างไร เกิดได้เพราะสุดซอย เป็นสิ่งที่คนไทยที่รักชาติ รักความยุติธรรมอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ในอดีตอาจจะไม่ถึงจุดเดือด ยังคิดว่า การเมืองปล่อยไปฉันไม่เกี่ยวหรือไม่กล้าเพราะกลัว
แต่เรื่องการนิรโทษการโกง การฆ่า การเผา คงจะทำให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของระบอบทักษิณ ผมเขียนไว้ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างกำลังกับปัญญา แต่ในช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายมีกำลังมักจะชนะฝ่ายปัญญาอยู่เสมอ
ผมเคยพูดไว้ว่า การต่อสู้ของเสื้อแดงกับกลุ่มอื่นๆในอดีตคือการต่อสู้ระหว่างกำลังกับปัญญา ซึ่งปรากฏว่า พลังที่ใช้กำลังบวกชายชุดดำใช้ความรุนแรงชนะ แต่ในวันนี้ ปัญญา ความรู้และการสร้างให้ทุกคนตระหนักเข้าใจถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณกลับอาจไปสู่ชัยชนะในรัฐบาลเสียงข้างมากของเสื้อแดงและพลังเงินมหาศาล
ถ้าไม่มีพระราชบัญญัติสุดซอย ก็ไม่แน่ว่า ฝ่ายสันติวิธีและฝ่ายปัญญาจะรวมตัวกันสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างไร
ภาพบรรยากาศการตัดสินคดีเขาพระวิหาร ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ณ ศาลโลก
การแสดงออกของการประท้วงรัฐบาลที่ราชดำเนิน คล้ายกับมหาวิทยาลัยทางการเมืองคือ มีการแบ่งปันความรู้ถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณซึ่งมีอิทธิพลมากต่อคนไทยเพราะทำให้คนไทยที่เฉยๆ สามารถออกมาผนึกกำลังได้อย่างน่าภูมิใจ
ในขณะที่ฝ่ายใช้กำลังยังจัดระดมมวลชนเสื้อแดงแบบเดิม วิธีการพูดก็เน้นแต่ปลุกระดมโดยฝ่ายเสื้อแดงก็ได้ฟังและตบมือ ไม่มีนักวิชาการหรือกลุ่มอื่นๆ มาช่วยเสริมความรู้แบบฝ่ายที่ราชดำเนิน เมื่อดูทั้ง 2 แบบ ก็เห็นเปรียบเทียบ 2 วิธีแล้วน่าจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แบบสันติวิธีทำให้ฝ่ายเสื้อแดงทำงานได้ลำบากขึ้น นอกจากจะปรับยุทธวิธีให้เห็น อาจจะหมายถึงการพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครั้งต่อไปด้วย ต้องดูกันต่อไป
ข่าวการตัดสินของศาลโลกกรณีเขาพระวิหาร ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องดูกันต่อไปว่าจะช่วยหรือเพิ่มแรงกดดันทางเสถียรภาพการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไร
หากดูจากภาพรวมๆ ก็เชื่อว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียหายไม่มากเพราะศาลไม่ได้พูดถึงเขตแดนนอกเหนือจากการตัดสินของศาลในปี 2505 พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร พูดเฉพาะส่วนที่เป็นหน้าผาที่ยื่นออกไปจากปราสาท ซึ่งแปลว่า
-พื้นที่จะเป็นของเขมรเพิ่มขึ้นเป็นส่วนน้อยแต่คงจะต้องดูว่าส่วนที่ว่าน้อยคือเท่าไร
-แต่คาดว่าเพิ่มไม่มากอย่างที่คาดคะเนกันก่อนการตัดสิน
สรุปได้ว่า การตัดสินของศาลโลกที่ทำให้อุณหภูมิการเมืองและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ลดความรุนแรงลงไปได้ส่วนหนึ่ง
ถ้าคิดแบบแยบคายเมื่อก่อนเราไม่มีประเทศ คราวนี้จะคิดอย่างไร