ติดตามอ่านย้อนหลังได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.naewna.com/columnist/1104
ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ เป็นวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่แน่นอน
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ ที่คิดถึงแต่อำนาจ เงิน และครอบครัว คงมีปัญหาแน่นอน ประชาชนตาสว่างกันขึ้นมา เป็นการเรียนรู้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
แต่จะจบอย่างไร จะมีการปฏิรูปการเมือง ให้นักการเมืองเว้นวรรคไปสักระยะหนึ่งหรืออย่างไรยังไม่ทราบ
ความเห็นของผม มีอยู่อย่างเดียวคือปฏิวัติของภาคประชาชนอย่างสันติให้หน่วยงานหลักๆ ของประเทศ เช่น ทหารเข้ามามีบทบาทโดยไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ อาจจะหยุดการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือเพิ่มบางมาตราให้รัฐบาลเดินหน้าเข้าปฏิรูปการเมืองต่อไป
มาไกลถึงวันนี้แล้ว รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ อย่าปฏิเสธเลยว่าระบอบทักษิณยังไปได้ ประชาชนที่บริสุทธิ์ไม่ต้องการระบอบทักษิณอีกต่อไปแล้ว
กรุณาเห็นแกประเทศบ้าง พวกคุณย่ำยีประเทศมามากพอแล้ว ถอยเพื่อรักษาประเทศไทยไว้ดีกว่า
แต่ที่สำคัญมากที่สุดในช่วงนี้คือสันติวิธี อย่าใช้ความรุนแรง และฟังเสียงจากพลังของประชาชนที่หวังดีกับประเทศ
ผมอยากเห็นสถาบันทหารแสดงจุดยืนในการปฏิรูปทางการเมืองครั้งนี้โดยหวังว่าสถาบันข้าราชการไม่ควรรับใช้นักการเมืองที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวต่อไป
ซึ่งถือโอกาสนี้ขอนำเอารูปที่มวลมหาประชาชนไปเยี่ยมหน่วยราชการต่างๆ อย่างสันติวิธี ซึ่งเป็นวิธีการปฏิวัติแบบประชาชน และอาจจะเป็นปรากฏการณ์แห่งเดียวในโลกที่เกิดขึ้น
ก็ขอให้คนไทยทุกคนพร้อมใจกันเพื่อรักษาประเทศต่อไป
การปฏิรูปการเมืองครั้งนี้อาจหมายถึงเลิก
1.การใช้เงินเพื่อการเมืองหรือกิจกรรมการเมือง
2.ลดการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
3.การใช้นโยบายประชานิยมที่ไม่มีขีดจำกัด จำเป็นต้องลดลง
4.ดึงเอาคนที่มีความสามารถ ของกลุ่มวิชาชีพของประเทศเข้าสู่การเมืองภาคประชาชน
5.ข้าราชการอย่าเอาแต่เป็นขี้ข้านักการเมืองที่ไม่มีคุณภาพ
6.จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทยอย่าจาบจ้วงท่านอีกต่อไป
สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมมีภารกิจที่สำคัญคือเป็นองค์ปาฐกในงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “ก้าวผ่านการศึกษาไทยสู่ความเป็น
นานาชาติ” (Adapting to International Best Practice) ที่จัดโดยนักศึกษาปริญญาเอกคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นการมองอนาคตการศึกษาไทยที่เน้นการรองรับ ASEAN 2015
ผมดีใจที่โครงการดีๆ แบบนี้ได้เสนอให้ประชาชนรับทราบและอาจจะนำปฏิบัติได้ เพราะการปฏิรูปประเทศไทยในอนาคตต้องมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างแน่นอน
ได้เน้นว่าการศึกษานานาชาติ จำเป็นต้องมองการศึกษาหลักในประเทศด้วยเสียก่อน
เพราะการที่เราจะก้าวไปสู่การศึกษานานาชาติ การศึกษาในประเทศต้องเข้มแข็งก่อน ไม่ใช่ไม่พร้อมแต่ไปสู่เรื่องนานาชาติ สุดท้ายล้มเหลวทั้งคู่
แต่ถ้ามีการศึกษานานาชาติเพิ่มขึ้นประโยชน์ก็คือ
-ใช้ความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรม
-ใช้วิธีการเรียนที่เน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์ learninghow to learn
-มองการศึกษาเพื่อการเป็นพลเมืองที่ดีของโลก ไม่ใช่การสอบเข้าสอบออก ต้องคิดเป็นวิเคราะห์เป็น สนใจเรื่องการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม
-และสุดท้ายคือการได้ใช้ภาษาต่างประเทศให้เข้มแข็งขึ้น เป็นการฝึกตัวเองเรื่องความเข้าใจ เรื่องต่างประเทศด้วย
ประเด็นที่สำคัญของผมก็คือจะเกิดขึ้นได้ต้องให้การศึกษาในประเทศเข้มแข็งไม่ใช่การศึกษานานาชาติอย่างเดียว สร้างความเสมอภาคและโอกาสให้คนไทย
-อย่าให้คนไทยกลุ่มเล็กที่มีคุณค่ากระจุกตัวอยู่เพียงในเมืองหลวงไม่กระจายความเสมอภาคทั้งประเทศ
-ต้องกระจายโอกาสการศึกษานานาชาติให้ทัดเทียมทั้งประเทศไทย
-อย่าให้มีการกระจุกตัวของการศึกษานานาชาติ เฉพาะผู้มีรายได้มากที่มีกำลังซื้อ ซึ่งจะสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
ผมเลยยกตัวอย่างเรื่อง UN millennium goals เป็นการสร้างพลังให้เกิดความเสมอภาค ได้ลดความยากจนในโลก ซึ่งตอนแรกมองว่าไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูง
ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้
-นักการศึกษาที่หวังดีต่อการศึกษาและมีวิสัยทัศน์
-องค์กรธุรกิจผู้นำการศึกษาที่ดีมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
-สื่อมวลชนที่หวังดีต่อการศึกษาใช้สื่อ ICT และ Social Media ให้เกิดประโยชน์กับการศึกษา
เป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทัดเทียมกัน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระตุ้นกระบวนการคิดใหญ่และต้องทำให้สำเร็จ
ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ
[email protected]
www.ChiraAcademy.com
แฟกซ์ 0-2273-0181
หลายคนคงทำดีอยู่ แม้พระก็ยังออกมาปกป้อง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ชอบที่กล้าแสดง