ประสบการณ์โรงพยาบาลในกวางโจ
ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แม่ต้อยได้มีโอกาสไปฉลองปีใหม่พร้อมหกับลูกสาว และครอบครัวที่กวางโจว มหานครทางเศรษฐกิจอีกแห่งของประเทศจีน ไปคราวนี้ก็เพื่อที่จะได้นำหลานสาวอายุ ๑๑ เดือนไปพบญาติๆทางเมืองจีนด้วย เพราะว่าลุกสาวของแม่ต้อย คนนี้เขาแต่งงานกับนักธุรกิจคนจีน
เป็นครั้งแรกที่หลานสาวจะได้พบกับญาติๆ อันเป็นบรรพบุรุษชาวจีนโพ้นทะเล
อากาศในช่วงนี้นเย็นยะเยือก แม้แต่ประเทศไทยก็ยังหนาวมากกว่าทุกๆปีระยะเวลาใกล้ๆปีใหม่และใกล้ๆตรุษจีน บรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก
ปกติ นครกวางโจวนั้นอึกทึกครีกโครมด้วยผู้คนมากมายอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นแหล่งนัดพบนักธุรกิจระดับโลก และเป็นแหล่งรวมสินค้าหลายหลายทุกประเภททำให้ผู้คนหลั่งไหลไปซื่อสินค้าเพื่อไปขายต่อจากทุกมุมโลกเลยทีเดียว
แม่ต้อยจึงเห็น ฝรั่ง ชาติต่างๆ หรือนักธุรกิจ จากแถวอาฟริกา มาเลเซียเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างหนาตา
ไปคราวนี้แม่ต้อยพักที่โรงแรม โซฟิเทล แม่ต้อยจะเล่าถึงรายละเอียดสักเล้กน้อย เพราะเรื่องราวของการไปมีประสบการณ์ ที่โรงพยาบาล มาจากจุดเริ่มต้นที่นี่
โรงแรมออกแบบอย่างทันสมัยมาก ห้องน้าและห้องนอนสามารถมองทะลุผ่านกระจกเข้าไปถึงกันได้ มีม่านกันแสงปิดเพียงแค่สองด้าน อิอิ
คงเหมาะกับหนุ่มๆสาวๆ มากกว่าคนอายุขนาดแม่ต้อยและหลานตัวเล็กๆอย่างนี้
หลานสาวคนนี้เป็นเด็กที่ติดแม่มากๆ แม่ต้อยที่เป็นคุณยาย ก็ยังไม่สามารถดึงเธอไว้ได้หากเธอจะร้องคิดถึงแม่ขึ้นมา
คืนวันเกิดเหตุ ลุกสาวแม่ต้อยเข้าไปอาบน้ำในห้องกระจกใสๆ ดังเช่นเคยมองเห็นได้จากภายนอก อิอิ
หลานสาวตัวน้อยนั่งเล่นกับแม่ต้อยอย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นเจ้าหลานสาวลุกขึ้นยืนและเดินไปอย่างรวดเร็วที่หน้าห้องน้ำพยายามดันกระจกใสๆ เข้าไปหาแม่ที่กำลังอาบน้ำอยู่
แม่ต้อยตามไปพาออกมาได้ และกำลังหาของเล่นมาให้เจ้าตัวเล็กเพื่อเปลี่ยนความสนใจ
แต่ไม่ทันการณ์ หลานตัวเล็กที่อายุเพียง๑๑ เดือน เดิน( เร็วมาก) กลับเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เธอไปเหยียบเอาละอองน้ำอันเกิดจากการดึงประตูกระจกในครั้งแรก
เสียงล้มดังตึง!!!!!!!
แม่ต้อยแทบหยุดหายใจ ลูกสาวแม่ต้อยผลุบออกมาจากห้องน้ำทันที
เราร้อนใจมาก แม่ต้อยรีบหาผ้าอุ่นๆมาประคบศรีษะของเจ้าหล่อน
“ เราต้องไปโรงพยาบาล” แม่ต้อยคิดในใจ
รีบโทรศัพท์ไปที่พนักงานโรงแรมถามว่าแถวนี้มีโรงพยาบาลใดบ้างที่ใกล้ที่สุด
สักครู่ พนักงานก็แจ้งว่า มีโรงพยาบาลเอกชน ที่เปิดใกล้ที่สุด แต่ในกรณีฉุกฉินทางรพ.ขอเก็บเงินล่วงหน้า 3000 RMB ( ประมาณ ๑๕๐๐๐ บาท)
แม่ต้อยตอบตกลงทันที เรียกรถของลูกเขยที่ไปนอนที่บ้านกับพ่อแม่เขาให้มาด่วน
สักครู่ เจ้าลูกเขยมาถึง ดูใจเย็นมาก เขาขับรถไปแล้วหันมาบอกว่า
“เดี่ยวผมจะพาไปรพ.ของรัฐ นะครับ”
ที่ประเทศจีนเราเชื่อมั่นบริการของรพ.รัฐมากกว่า
แม่ต้อยนึกถึงภาพที่เราอาจจะต้องรอ อย่างน้อยมากกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ๆ เราไม่รู้จักใครเลยนี่น่า คนแปลกหน้าแท้ๆ
สักพักรถพาเรามาถึงรพ.ของมหาวิทยาลัย น่าจะชื่อมหาวิทยาลัยดร. ซุนยัตเซน
ดูเผินๆ เหมือนรพ.ทั่วๆไป มีคนไข้นั่งรอ มีห้องให้น้ำเกลือ มีห้องทำบัตร คนเดินไปมาวุ่นวาย แม่ต้อยเริ่มจิตตก อิอิ
เราไปบอกพยาบาลว่าเด็กล้มฉุกเฉินอยากพบหมอมาก
คุณพยาบาลพยักหน้ารับทราบด้วยใบหน้าเรียบเฉย บอกให้ไปทำบัตรเสียก่อนที่เคาเตอร์ ฝั่งตรงข้าม
ค่าทำบัตรราคา 10 RMB ( ประมาณ 50 บาท ) เสร็จแล้วให้นั่งรอ ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ยังไม่ทันนั่งเลย คิวของบัตรขึ้นมาเลขที่ 177 แล้ว เย้ๆๆ
เราพากันกรูเข้าไปหาคุณหมอหนุ่มคนหนึ่ง ที่ท่าทางเหนื่อยอ่อนจากการทำงานมามาก เพราะเวลานั้นเวลาประมาณ สี่ทุ่มกว่าแล้ว
คุณหมอนั่งฟังการเล่าอาการของพวกเรา ด้วยความสงบ พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และ ไม่มีทีท่าจะรำคาญ ความรู้มากของลูกสาว ที่มีความเป็นห่วงลูกตัวน้อยของเธอเลย คำถามเป็นชุดๆๆ รัวออกมาอย่างถี่ยิบ ชนิดที่แม่ต้อยเองก็ยั้งไม่ทัน
“ขอ Xray นะคะ “
“ขอ ตรวจสมอง นะหมอ”
“ ทำไมลูกหลับละคะ เค้าบอกว่าเด้กหลับเนี่ย อาการไม่ดี ใช่ไหม? ..
ลูกชั้นจะเป็นไรไหมคะ?
แม่ต้อยกลายเป็นคนที่สามที่ถอยมาดู ฉากการช่วยเหลือกันระหว่างแพทย์หนุ่มที่กำชะตา ของหนูน้อย กับความห่วงใยของพ่อแม่ ทั้งหมดนี้ทุกๆคนน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
แม้ว่าคนไข้จะเป็นหลานสาวคนเดียว แต่ตอนนี้แม่ต้อยเริ่มเห็นใจคุณหมอแล้ว .. อ้าว
เพราะ แม่ต้อยเห็นคุณหมอ ตรวจ ร่างกาย และ ค่อยๆอธิบายถึงโครงสร้างของกระโหลกศรีษะเด็ก อาการที่ควรระวัง อย่างช้าๆ ( เป็นภาษาจีน อิอิ แต่พอจะแปลความได้)
ลูกสาวแม่ต้อยยืนยันจะขอ CT SCAN ให้ได้
แม่ต้อยเห็นคุณหมอลังเลนิดหนึ่งแล้วเขียนในใบสั่งแพทย์ แต่ในที่สุดคุณหมอหนุ่มชะงัก แล้วหันมาอธิบายว่า
“ หากจะCT เด็กต้องนอนหลับเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และตามความเห็นของผมคิดว่ายังไม่จำเป็น”
คราวนี้แม่ต้อยต้องเข้ามาช่วยคุณหมออีกแรงหนึ่ง และให้ลุกสาวถามข้อข้องใจให้คบถ้วน
คุณหมอคนนี้สามารถ Engage แม่ต้อยได้ เพราะแม่ต้อยเข้าใจ ในวิธีปฏิบัติ รวมทั้งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งความตั้งใจที่ดีของคุณหมอเองด้วย
แม่ต้อยให้ลุกสาว ซักถามจนแน่ใจแล้ว พร้อมกับยืนยันว่าหากคืนนี้เจ้าตัวเล็กเป็นอะไรไปอึกให้พากลับมาได้แลยทันที หมอพร้อมเสมอ...
ทีมนี้จึงยอมล่าถอยออกมา โดยไม่มียา ไม่มีสิ่งใด นอกจากความสบายใจของพ่อและ แม่..
“ ความสบายใจ “ จากข้อมูลที่คุณหมอให้นี่แหละคือยาที่วิเศษที่สุด
แต่สิ่งที่ประทับใจมากกว่านั้นคือ คุณหมอ นั่งเขียน อาการ ของเด็ก ความห่วงใยของพ่อแม่ และข้อแนะนำของแพทย์ ลงไปในบันทึกเวชระเบียน ที่จัดทำเป็นเล่ม
แม่ต้อยชะโงกดู คุณหมอหนุ่มคนนั้นเขียนบันทำตัวโตๆเท่าหม้อข้าว หม้อแกง เป็นภาษาจีน แม่ต้อยอ่านไม่ออกหรอก
เลยกระซิบถามลูกเขยว่า นั่นเขาเขียนอะไร?
“ เขียนทุกอย่างที่ได้แนะนำเรา สิ่งที่หมอได้รับรู้ว่าทางญาติกังวลใจ เขียนแม้กระทั่งว่าญาติขอทำ CT แต่หมอแนะนำว่าให้ดูอาการก่อน “
แล้วขอให้ญาติอ่านอีกครั้งว่าตรงกันไหม แล้วขอให้ลงชื่อกำกับไว้ในสมุดเล่มนั้น
และสมุดเล่มนั้น เราได้รับกลับมาด้วย
ข้อมูลทุกอย่างอยุ่ที่ตัวผู้ป่วย หากจะต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้งให้นำไปด้วย
แม่ต้อยไม่แน่ใจว่าในกรณ๊ที่คนไข้ทำหายรพ. จะมีวิธีการอย่างไร?
และรพ.มีระบบการบันทึกข้อมูลเหล่านี้ลงในระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม แม่ต้อยได้เรียนรู้ อย่างมากกับการปฏิบัติตัวของหมอหนุ่มคนนี้
คนที่เข้าใจ และยอมรับฟังความทุกข์ของญาติ อย่างอดทน ไม่เบื่อหน่าย แม้จะแอบเห็นวี่แววของความอ่อนล้าในสายตาในยามที่ทอดสายตามองไปรอบๆ
ใช้ทักษะ และความรู้ในการแนะนำอย่างถูกต้องและใจเย็น
เพราะจนบัดนี้ เจ้าหลานสาวกลัยมาเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีอาการใดที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ
ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เรียนรู้ แม่ต้อยต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมาก
และจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
ส่วนลูกสาวของแม่ต้อยเล่า ภายหลังเธอจะนึกถึงเรื่องนี้ และขอบคุณ คุณหมอที่เรายังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ ( เขามีชื่อในบันทกที่ให้มา แต่อ่านไม่ออก) อยู่ตลอดเวลา
“ แม่คะ หากมาที่เมืองไทย คุณหมอจะฟังหนู เข้าใจหนูไหมคะ เวลาหนูตกใจแบบนี้”
แม่ต้อยได้แต่ยิ้มๆ
“ ฟังสิคะ และ เข้าใจคนไข้มากๆ ด้วย เพราะว่าที่เมืองไทยเรามี SHA spiritual health care ไงคะ”
ขอบคุณคะ
สวัสดีคะ
แม่ต้อย
๑๕ มกราคม ๒๕๕๗.
ไม่มีความเห็น