ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองดูเหมือนจะทำให้คนในชาติไม่ค่อยมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก สถานการณ์เหมือนถูกบีบบังคับให้เลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นไทยเฉย ไทยอดทน ไทยงง ไทยหน่อมแน้ม ฯลฯ เมื่อถูกบีบบังคับให้เลือกข้างผมก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเลือกข้าง ซึ่งข้างที่ผมเลือกนี้ผมมั่นใจว่าน่าจะเป็นข้างที่คนไทยทุกคนยอมรับและเป็นข้างที่รับคนได้ทุกฝ่าย ทุกสี นั่นคือ “ไทยพอเพียง” ที่นำเอาคำสอนแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาปฏิบัติให้เห็นจริงนั่นเอง สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้คนไทยสามารถยืนหยัดลืมตาอ้าปาก มีชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้ว ยังเป็นเกราะป้องกันการรุกรานของการล่าอาณานิคมได้เป็นอย่างดี จนมีเรื่องเล่าที่แชร์ต่อๆ กันว่า ทุนนิยมสามารถโค่นคอมมิวนิสต์ได้อย่างราบคาบ แต่กลัวอะไรมากที่สุด คำตอบคือ แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นเอง เพราะเมื่อเราพึ่งพาตนเองได้แล้ว ความต้องการสินค้าบางอย่างก็ไม่จำเป็น ดังนั้นจึงมีกลุ่มทุนข้ามชาติพยายามล้มตรงนี้ให้ได้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เรื่องของการเกษตรเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปในทุกเรื่องของแนวทางการดำเนินชีวิต ที่คนทุกสาขาอาชีพ เข้าถึงได้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นปรัชญาการดำเนินชีวิตได้เลยทีเดียว พื้นฐานแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงประกอบไปด้วย แนวทางจัดการชีวิตให้สมดุลด้วยหลักการดำเนินชีวิต 3 ประการคือ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งหลัก 3 ประการนี้ จะต้องขับเคลื่อนด้วยความรู้และอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม คำว่าพอประมาณและมีเหตุผลก็คือแนวทางสายกลางนั่นเอง ไม่สุดโต่งเกินไป คนมีทรัพย์สินเงินทองมาก ก็มีสามารถที่จะใช้เงินมากได้ ถ้ามีเหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานความรู้และคุณธรรม การมีภูมิคุ้มกันก็คือการไม่ไหลไปตามกระแส มีสติรอบคอบ คิดอย่างถูกวิธี ตามหลักโยนิโสมนสิการตามลำดับขั้นตอนที่ควรเป็น คิดอย่างมีเหตุผล และเป็นกุศล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ตามหลักกาลามสูตร คือ อย่าเชื่อตามที่ฟังตามกันมา อย่าเชื่อตามการกระทำตามๆสืบๆกันมา อย่าเชื่อตามการเล่าลือ อย่าเชื่อตามตำรา อย่าเชื่อตามเหตุผล/ตรรกะ /แนวโน้ม สถิติ อย่าเชื่อตามการคาดคะเน อย่าเชื่อหรือรับเอามาเชื่อด้วยการตรึกเอาตามอาการ อย่าเชื่อด้วยเพียงสักว่า ข้อความนั้นมันเป็นได้ หรือเข้ากันได้กับความเห็นของตัวเรา อย่าเชื่อด้วเหตุเพียงสักว่าผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ อย่าเชื่อว่านี่คือครูของเรา
จาก ส.ค.ส. เมื่อปีพ.ศ. 2547 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานไว้ มีใจความว่าบ้านเมืองเรากำลังจะเผชิญกับวิกฤตการ 4 ประการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือ วิกฤติการจากภัยธรรมชาติ วิกฤติการจากความอดอยากยากแค้น อันเนื่องมาจากผลผลิตทางอาหารลดลง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากภัยธรรมชาติ วิกฤติการจากความขัดแย้งทางการเมือง การแย่งชิงทรัพยากร ทำให้เกิดวิกฤติการทางสังคม คุณธรรมจริยธรรมต่ำลง ทางรอดที่จะพ้นวิกฤติเหล่านี้คือแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง
มาถึงตรงนี้จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนหันมาศึกษาแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติให้เห็นผลกันจริงๆ จังๆ เมื่อถึงเวลานั้นผมเชื่อว่าประเทศเราก็จะเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่มีความสุขที่สุดในโลก
ไม่มีความเห็น