ความชุกและปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ณัฐวุธ แก้วสุทธา, ธนานัฐ บุญอินทร์, คงวุฒิ เหลืองเรืองรอง, ชวรชต์ มาไพศาลสิน ,จริญญา ฉายวิริยะ
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความชุกและศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กอายุ 5-7 ปี ที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยเก็บข้อมูลจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยเด็กภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กและทันตกรรมป้องกัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างปี พ.ศ.2548–2555 จำนวน 300 คน ที่สุ่มโดยวิธี สุ่มอย่างง่าย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติไคสแควร์ และ การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบ 2 กลุ่มผลการศึกษาพบว่า ความชุกของโรคฟันผุเป็นร้อยละ 87.67 ค่าเฉลี่ยดัชนีผุ ถอน อุด เป็น 9.53 ซี่ต่อคน
และจากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคฟันผุโดยการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบ 2 กลุ่มพบว่า ปัจจัยด้านเพศ ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และปัจจัยด้านลักษณะการสบฟันนั้นไม่มีผลความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุในเด็ก (p-value > 0.05) แต่ปัจจัยด้านน้ำหนักและส่วนสูงจะมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% (p-value = 0.001) และในกลุ่มผู้ป่วยที่มีน้ำหนักและส่วนสูงอยู่สูงกว่าเกณฑ์นั้น มีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าผู้ป่วยที่มีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ 4 เท่า (OR = 4.00, 95% CI = 1.3-9.18) จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า ปัจจัยด้านน้ำหนักและส่วนสูงมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่อย่างไรก็ตาม โรคฟันผุเป็นโรคที่เกิดจากพหุปัจจัย จึงควรมีการศึกษาลักษณะอื่นๆ เช่น การศึกษาสหสัมพันธ์เปรียบเทียบ และการศึกษาเชิงทดลองเพื่อให้สามารถเห็นความสัมพันธ์ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
คำสำคัญ :ความชุก ปัจจัยทางกายภาพ ฟันผุ ผู้ป่วยเด็ก
บทนำ
โรคฟันผุเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมากของประเทศ โดยเฉพาะประชากรในกลุ่มเด็ก ซึ่งพบว่ามีอัตราการเกิดฟันผุที่สูงมากอย่างต่อเนื่อง จากรายงานเปรียบเทียบสภาวะสุขภาพช่องปากที่สำรวจทุก 5 ปี จะพบว่าในช่วงอายุ 5-6 ปี จะมีสถานการณ์ของโรคอยู่ในระดับที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มของจำนวนค่าเฉลี่ยของเด็กที่มีฟันผุเพิ่มขึ้นตามปีที่สำรวจ โดยข้อมูลจากรายงานการสำรวจในปี พ.ศ.2532, 2537,2544 และ 2550 พบว่า เด็กในวัยดังกล่าวมีความชุกในการเกิดฟันผุเป็นร้อยละ 82.8, 85.3, 87.5 และ 80.6 ตามลำดับ และในครั้งล่าสุด พ.ศ.2551 – 2555 พบว่า ในช่วงอายุ 5 ปี เด็กมีโรคฟันผุสูงถึงร้อยละ 78.5 และมีค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด เท่ากับ 4.4 ซี่/คน [1] แสดงให้เห็นว่า ปัญหาฟันผุในกลุ่มเด็กมีปัญหาสูงอย่างน่าเป็นห่วง ซึ่งผลกระทบจากการเกิดฟันผุนอกจากส่งผลทำให้เกิดกลิ่นปาก อาการเสียวและปวดฟัน ยังส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านสติปัญญา บุคลิกภาพ และปัญหาทางโภชนาการตามมา [2] ทั้งนี้ โรคฟันผุในเด็กนั้นมีความสำคัญต่อต่อการเรียงตัวในชุดฟันแท้ด้วย ซึ่งจะส่งผลไปถึงด้านการใช้งาน การทำความสะอาด และความสวยงามของคนนั้นได้ [3] นอกจากนี้แล้ว การเกิดฟันผุปริมาณมากในชุดฟันน้ำนมนั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญที่จะทำนายการเกิดฟันผุในชุดฟันแท้ในอนาคตได้อีกด้วย [4] ดังนั้น การทราบสาเหตุของโรคฟันผุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการศึกษาและให้ความสำคัญ โดยจากองค์ความรู้ในปัจจุบันทราบว่า โรคฟันผุนั้นเป็นโรคที่เกิดจากพหุปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ 1)เชื้อแบททีเรียที่ทำให้เกิดกรด (cariogenic bacteria) 2) อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (fermentable carbohydrate) และ 3) ปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ ฟันและสภาพในช่องปากต่างๆ [5] สำหรับปัจจัยด้านเชื้อแบททีเรียที่ทำให้เกิดกรด และอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต มีงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์กับการเกิดโรคฟันผุมากมาย แต่สำหรับปัจจัยด้านกายภาพที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุ ยังมีการศึกษาไม่มากนัก และมีหลายปัจจัยที่คงมีข้อถกเถียงอยู่ในความสัมพันธ์ เช่น ปัจจัยด้านน้ำหนักตัวของเด็ก ปัจจัยด้านเพศ ปัจจัยการสบฟันที่ผิดปกติ และปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก
ปัจจัยด้านน้ำหนักนั้น มีหลายการศึกษาที่สรุปว่า น้ำหนักตัวของเด็กมีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุในเด็ก เช่น การศึกษาของ วิลเลอร์ฮอว์เซน ในปี ค.ศ. 2004 ที่ประเทศเยอรมัน ที่พบว่า เด็กที่อยู่ในกลุ่มน้ำหนักมากกว่าปกติจะมีค่าเฉลี่ยของฟันผุมากกว่าเด็กในกลุ่มน้ำหนักปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และแนวโน้มของค่าเฉลี่ยของฟันผุนั้นจะมีแนวโน้มแปรผันตามปริมาณน้ำหนักตัวของเด็กอีกด้วย [6] ซึ่งสอดคล้องกับหลายการศึกษา [7-9] แต่ก็พบว่ามีการศึกษาที่ให้ผลตรงกันข้ามอีกด้วย นั่นคือการศึกษาของ โคกซอลและคณะ ในปี ค.ศ. 2011 ที่ศึกษาในเด็กชาย-หญิงอายุ 5-9 ปี ในประเทศตุรกี ที่พบว่าในกลุ่มของเด็กน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์มีค่าอุบัติการณ์ในการเกิดฟันผุและมีค่าเฉลี่ย ผุ ถอน อุด ต่ำกว่าเด็กที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์และต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ [10] หรือ การศึกษาในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2550 ที่พบว่าเด็กที่อยู่ในกลุ่มผอมมากนั้นจะมีค่าเฉลี่ย ผุ ถอน อุดมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น และเด็กที่อยู่ในกลุ่มโภชนาการเกินจะมีค่าเฉลี่ย ผุ ถอน อุด ที่น้อยที่สุด [11] นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหลายการศึกษาที่พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันของน้ำหนักตัวของเด็กกับการเกิดฟันผุ [12-14]
ปัจจัยความสัมพันธ์เรื่องเพศกับการเกิดโรคฟันผุในเด็กก็ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ในบางการศึกษาสรุปว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น การศึกษาของ ชาวลา ที่พบว่าอุบัติการณ์ของการเกิดฟันผุในเด็กนั้นไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองเพศ [15]สอดคล้องการศึกษาอื่นๆ [16-17] แต่ในบางการศึกษา กลับพบว่าเด็กผู้หญิงมีความเสี่ยงในการเกิดฟันผุมากกว่าเด็กผู้ชาย ซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการที่การพัฒนาการในการขึ้นของฟันเด็กผู้หญิงขึ้นเร็วกว่าเด็กผู้ชาย [18]
สำหรับปัจจัยด้านการสบฟันที่ผิดปกติกับการเกิดฟันผุ มีหลายการศึกษา พบว่า เด็กที่มีลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติจะพบอุบัติการณ์ของการเกิดฟันผุได้มากกว่าเด็กที่มีการสบฟันปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ [19] สอดคล้องกับการศึกษาของ บรุคเกอร์และคณะ พบว่า เด็กที่ปราศจากฟันผุ (Caries free) ร้อยละ 97.8 จะมีลักษณะการสบฟันใกล้เคียงลักษณะการสบฟันที่ปกติ [20] นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กที่มีการเบี่ยงเบนในแนวกลาง (Midline shift) จะมีค่าผุ ถอน อุด มากกว่าเด็กที่มีการเบี่ยงเบนในแนวกลางปกติ 1.7 เท่า และเด็กที่มีภาวะสบเปิด (Open bite) จะมีค่าผุ ถอน อุด มากกว่าเด็กที่มีการสบฟันปกติ 2.1 เท่า [21] ทั้งนี้ การเกิดความผิดปกติของลักษณะการสบฟันนั้น บางครั้งก็เป็นสาเหตุมาจากการเกิดฟันผุด้วย โดยการเกิดฟันผุที่ลุกลามรุนแรงจนจำเป็นต้องถอนฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร อาจเป็นสาเหตุผิดปกติของลักษณะการสบฟัน [22]
สำหรับปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปากที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุนั้น มีหลายการศึกษาที่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยพบว่า เด็กที่มีพฤติกรรมหายใจทางปากจะมีคราบสีดำทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุทุกคน นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 61 ของเด็กที่มีพฤติกรรมกัดเล็บและดูดนิ้ว พบคราบสีดำบนตัวฟัน ซึ่งเป็นลักษณะของการเกิดฟันผุในเด็ก [23] ทั้งนี้ ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปากอาจทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติ และส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปาก ทำให้เกิดฟันผุในเด็กได้
จากการทบทวนวรรณกรรมที่พบข้อถกเถียงถึงปัจจัยทางกายภาพที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคฟันผุในเด็กดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นที่มาของการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการเกิดโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กและหาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อค้นพบที่ได้จะสามารถไปใช้ในเป็นองค์ความรู้ในการให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็กและผู้ปกครองหรือประชาชนทั่วไป หรือเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาสาเหตุการเกิดฟันผุในเด็ก ในการศึกษาอื่นๆต่อไป
วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความชุกและศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กอายุ 5-7 ปี ที่มารับบริการที่ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กและทันตกรรมป้องกัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างปี พ.ศ. 2548 – 2554 โดยได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมในการทำวิจัย คณะทันตแพทยศาสตร์ (เลขที่ 6 / 2555)
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการศึกษา
ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้ป่วยเด็กที่มีอายุในช่วง 5 – 7 ปีบริบูรณ์รายใหม่ที่เข้ารับบริการทางทันตกรรมของคลินิกการเรียนการสอนภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กและทันตกรรมป้องกัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภายในช่วงปี พ.ศ.2548-2554
กลุ่มตัวอย่าง
ใช้การสุ่มอย่างง่าย โดยกำหนดคุณลักษณะที่ต้องการของกลุ่มตัวอย่าง (Inclusion criteria) และคุณลักษณะที่คัดออก (Exclusion criteria) โดยคุณลักษณะที่ต้องการของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เป็นผู้ป่วยใหม่ที่เข้ารับบริการทางทันตกรรมของคลินิกการเรียนการสอน ที่มีอายุในช่วง 5 ปีบริบูรณ์ถึงอายุ 7 ปี 11 เดือน 30 วัน ณ วันที่เริ่มบันทึกประวัติ มีอาจารย์ผู้ควบคุมการตรวจเป็นอาจารย์ประจำ ประกอบกับได้มีการวางแผนการรักษา (treatment plan) สมบูรณ์ และผู้ปกครองได้ลงชื่อรับทราบในช่องคำรับรองของผู้ปกครองให้อนุญาตนำข้อมูลมาใช้ในเชิงวิชาการและวิจัยได้แล้ว สำหรับคุณลักษณะที่คัดออกจากการเป็นตัวอย่าง คือ กรอกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือลายมือของผู้ตรวจเขียนไม่ชัดเจนยากแก่การแปลความหมาย
การเก็บรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูล โดยนำแบบเก็บข้อมูลไปคัดลอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแฟ้มประวัติของผู้ป่วยเด็กใน หน้าบันทึกประวัติและการตรวจช่องปาก ซึ่งแฟ้มประวัติที่นำมาใช้ทั้งหมดจะต้องเป็นการบันทึกแฟ้มประวัติของผู้ป่วยครั้งแรก (First chart) ภายในระยะเวลาช่วง 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 48 ถึง วันที่ 30 ก.ย.54 ข้อมูลที่จัดเก็บประกอบด้วย ข้อมูลดัชนีผุ ถอน อุด ตัวแปรปัจจัยด้านน้ำหนักและส่วนสูง ปัจจัยด้านเพศ ปัจจัยการสบฟันที่ผิดปกติ และ ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก โดยเกณฑ์การให้ความหมายของตัวแปรต่างๆ ประกอบด้วย
น้ำหนักตัวของเด็ก (Weight) หมายถึง น้ำหนักตัวของผู้ป่วยเด็กที่ได้วัดก่อนทำการตรวจภายในช่องปากและได้รับการกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนภายในแบบฟอร์มส่วนข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย การแบ่งกลุ่มใช้เกณฑ์อ้างอิงจากกราฟแสดงการเจริญเติบโตของเพศชาย/หญิง อายุ 2-7 ปี ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. 2543 โดยดูจากพื้นที่ใต้กราฟ [24] แบ่งออกได้เป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์ น้ำหนักตามเกณฑ์ และน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
เพศ (Gender) หมายถึง เพศของผู้ป่วยที่ได้จากบันทึกของแฟ้มประวัติในช่องที่ระบุเพศภายในแฟ้มประวัติของผู้ป่วย ประกอบไปด้วย เพศชาย และเพศหญิง
นิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก (Abnormal oral habits) หมายถึง พฤติกรรมที่กระทำเป็นนิสัยซึ่งทำให้เกิดแรงกระทำที่ผิดปกติต่อตัวฟัน ประกอบไปด้วย การดูดนิ้ว การกัดริมฝีปาก การกัดเล็บ การกลืนที่ผิดปกติ การนอนกัดฟัน การหายใจทางปาก และอื่นๆ ที่ตรวจพบได้ทางคลินิกและได้บันทึกลงไปในช่อง นิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก ของแฟ้มประวัติผู้ป่วย จำแนกได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ จะต้องมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์อย่างน้อยหนึ่งอย่าง และกลุ่มที่ปกติ คือ ไม่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์
ลักษณะของการสบฟัน (Occlusion) หมายถึง ลักษณะการสบฟันของเด็ก ณ วันที่ลงบันทึกแฟ้มประวัติซึ่งดูจากการบันทึกลงในแฟ้มประวัติของผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจหัวข้อที่เกี่ยวกับการสบฟันในหัวข้อ ความสัมพันธ์ของฟันกรามในแนวดิ่ง (Molar relationship) การเหลื่อมแนวราบ (Overjet) การเหลื่อมแนวดิ่ง (Overbite) การสบไขว้ในฟันหน้า เบี่ยงเบนของแนวกลาง โดยจะพิจารณาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้คือ 1) กลุ่มที่มีการสบฟันปกติคือ มีความสัมพันธ์ของฟันกรามในแนวดิ่ง หากเป็นชุดฟันน้ำนมจะให้เป็น Flush terminal plane โดยพิจารณาจากฟันกรามน้ำนมซี่สุดท้าย และหากเป็นชุดฟันผสมจะให้เป็นการสบฟันแบบแองเกิลประเภท I (Angle’s classification I) และ 2) กลุ่มที่มีการสบฟันผิดปกติ คือ กลุ่มที่มีการสบฟันประเภทอื่น
สถิติที่ใช้ในการวิจัย
วิเคราะห์ทางสถิติโดยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูปด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยสถิติไค-สแควร์ ของเพียร์สัน (Pearson’s Chi-square) และสมการถดถอยโลจิสติก (Binary Logistic Regression)
ผลการวิจัย
ข้อมูลจากผู้ป่วยเด็กในภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กและทันตกรรมป้องกัน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่มีอายุในช่วง 5-7 ปี ทั้งหมดในช่วงเวลา 1 ม.ค. 48 ถึง วันที่ 30 ก.ย.54 มีจำนวนทั้งสิ้น 314 คน และเมื่อใช้เกณฑ์ในการคัดออก ซึ่งได้แก่ ผู้ป่วยที่มีข้อมูลในเวชระเบียนและข้อมูลในการตรวจที่ไม่สมบูรณ์ออก 14 ราย จึงเหลือข้อมูลที่มาทำการวิเคราะห์ 300 คน พบว่า ค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด ของการเกิดฟันผุในกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ เท่ากับ 9.53 ซี่/คน และมีความชุกร้อยละ 87.67 ข้อมูลแสดงดังตารางที่ 1
ตาราง 1 แสดงค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด และความชุกของการเกิดฟันผุ (N=300)
|
เมื่อจำแนกกลุ่มตัวอย่างตามปัจจัยที่ต้องการศึกษาในครั้งนี้พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย 153 คน (ร้อยละ 51) และเป็นเพศหญิง 147 คน (ร้อยละ 49) มีเด็กที่น้ำหนักและส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์จำนวน 39 (ร้อยละ 13) ตามเกณฑ์ 221 คน (ร้อยละ 73.7) และสูงกว่าเกณฑ์ 40 คน (ร้อยละ 13.3) มีเด็กที่มีนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก อย่างน้อย 1 อย่าง จำนวน 119 คน (ร้อยละ 39.7) และเด็กที่มีการสบฟันที่ผิดปกติมีจำนวน 241 คน (ร้อยละ 80.3) ข้อมูลดังตารางที่ 2
ตาราง 2 แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ป่วย จำแนกตามปัจจัยที่ต้องการศึกษา (N=300)
ตัวแปร |
จำนวน (คน) |
ร้อยละ |
เกณฑ์น้ำหนักและส่วนสูง ต่ำกว่าเกณฑ์ ตามเกณฑ์ สูงกว่าเกณฑ์ เพศ ชาย หญิง ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก ปกติ |
39 221 40
153 147
181 |
13 73.7 13.3
51 49
60.3 |
มีนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก ลักษณะการสบฟัน ปกติ ผิดปกติ |
119
59 241 |
39.7
19.7 80.3 |
รวม |
300 |
100 |
|
|
|
ความสัมพันธ์ของปัจจัยทางกายภาพ กับ การเกิดฟันผุในเด็ก
การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของตัวแปรปัจจัยทางกายภาพที่ต้องการศึกษาต่างๆกับการเกิดฟันผุในเด็ก โดยสามารถแบ่งกลุ่มเด็กตามความรุนแรงของการเกิดฟันผุออกได้เป็น 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด (dmft) ของเด็กอายุ 5 ปีของจังหวัดกรุงเทพมหานคร จากผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากระดับประเทศ ครั้งที่ 7ประเทศไทย พ.ศ. 2555 [1] ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.9 ซี่ต่อคน ดังนั้น กลุ่มที่มีฟันผุสูง คือ กลุ่มที่มีค่าผุ ถอน อุด มากกว่า 4.9 ซี่ และกลุ่มที่มีฟันผุน้อย คือ กลุ่มที่มีค่าผุ ถอน อุด น้อยกว่า 4.9 ซี่ ซึ่งผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านน้ำหนัก มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% (p-value < 0.05) โดยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์นั้น มีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าผู้ป่วยที่มีน้ำหนักและส่วนสูงอยู่ตามเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) สำหรับตัวแปรอื่นๆคือ ได้แก่ เพศ ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก และ ลักษณะการสบฟัน ไม่พบความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุ ข้อมูลดังตารางที่ 3
ตาราง 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดฟันผุกับปัจจัยต่างๆโดยใช้สถิติไค-สแควร์
ปัจจัย |
ฟันผุน้อย จำนวน (%) |
ฟันผุมาก จำนวน (%) |
2 |
P-value |
น้ำหนัก และส่วนสูง |
||||
ต่ำกว่าเกณฑ์ |
22 (7.7%) |
199 (92.3%) |
0.195 |
0.659 |
ตามเกณฑ์ |
12 (10%) |
28 (90%) |
||
ตามเกณฑ์ |
22 (10%) |
199 (90%) |
12.012 |
0.001* |
สูงกว่าเกณฑ์ |
12 (30%) |
28 (70%) |
||
เพศ |
||||
ชาย หญิง |
17 (11.1%) 20 (13.6%) |
136 (88.9%) 127 (86.4%) |
0.431 |
0.511 |
ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก |
||||
ปกติ |
22 (12.2%) |
159 (87.8%) |
0.013 |
0.908 |
ผิดปกติ |
15 (12.6%) |
104 (87.4%) |
||
ลักษณะการสบฟัน |
||||
ปกติ |
11 (18.6%) |
48 (81.4%) |
2.705 |
0.100 |
ผิดปกติ |
26 (10.8%) |
215 (89.2%) |
*มีนัยสำคัญทางสถิติที่ p-value < 0.05
เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โดยการวิเคราะห์สถิติถดถอยแบบโลจิสติก พบว่า
เด็กที่มีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุมากกว่ากลุ่มที่มีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ 4 เท่า (OR = 4.00, 95% CI = 1.3-9.18) ข้อมูลดังตารางที่ 4
ตาราง 4 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดฟันผุกับปัจจัยต่างๆโดยใช้สถิติวิเคราะห์ความถดถอยโลจิสติก
ปัจจัย |
ฟันผุต่ำ จำนวน (%) |
ฟันผุสูง จำนวน (%) |
Unadjusted Odd Ratio (95% C.I.) |
p-value |
Adjusted Odd Ratio (95% C.I.) |
p-Value |
น้ำหนัก และส่วนสูง |
||||||
ตามเกณฑ์ |
22 (10.0%) |
199 (90.0%) |
1 |
0.659 |
1 |
0.624 |
ต่ำกว่าเกณฑ์ |
3 (7.7%) |
36 (92.3%) |
0.75 (0.21, 2.65) |
0.73 (0.20, 2.59) |
||
เพศ |
||||||
ชาย |
10 (7.6%) |
122 (92.4%) |
1 |
0.257 |
1 |
0.292 |
หญิง |
15 (11.7%) |
106 (88.3%) |
1.62 (0.70, 3.75) |
1.58 (0.68, 2.70) |
||
ปัจจัยด้านนิสัยที่ผิดปกติทางช่องปาก |
||||||
ปกติ |
11 (7.4%) |
138 (92.6%) |
1 |
0.157 |
1 |
0.135 |
ผิดปกติ |
14 (12.6%) |
97 (87.4%) |
1.81 (0.79, 4.15) |
1.90 (0.82, 4.43) |
||
ลักษณะการสบฟัน |
||||||
ปกติ |
7 (13.7%) |
44 (86.3%) |
1 |
0.267 |
1 |
0.244 |
ผิดปกติ |
18 (8.6%) |
191 (91.4%) |
0.59 (0.23, 1.51) |
0.57 (0.22, 1.47) |
บทวิจารณ์
ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยเด็กมีค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด เท่ากับ 9.53 ซี่/คน และมีความชุกร้อยละ 87.67 มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด และความชุก ของประเทศและกรุงเทพมหานครโดยค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด ของประเทศเท่ากับ 4.4 ซี่/คน และมีความชุกร้อยละ 78.5 ในขณะที่กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด คือ 3.0 ซี่/คน ความชุกของการเกิดฟันผุอยู่ที่ร้อยละ 49.5 [1] ทั้งนี้ อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างที่คัดเลือกมาทำการศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่มาเข้ารับบริการในคลินิกทันตกรรม ซึ่งผู้ปกครองมักจะนำบุตรหลานมาเข้ารับบริการก็ต่อเมื่อเริ่มมีอาการหรือความผิดปกติที่เกี่ยวกับฟันแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่จะเข้ามาเพื่อรับการตรวจเช็คสภาพช่องปากโดยทั่วไป นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากการตรวจในคลินิกทันตกรรมเด็ก มีการใช้ภาพถ่ายรังสีร่วมด้วย ซึ่งมีความแตกต่างจากเกณฑ์การตรวจฟันผุที่ใช้ในดัชนีผุ ถอน อุดในการสำรวจของประเทศ จึงอาจจะมีผลที่ทำให้ค่า ดัชนีผุ ถอน อุด ต่างกับการสำรวจของประเทศ เป็นผลให้ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะ มีค่าเฉลี่ยผุ ถอน อุด หรือมีความชุกที่สูงกว่าประชากรโดยทั่วไป สอดคล้องกับการศึกษาที่เคยทำมาในอดีตที่เก็บข้อมูลในโรงพยาบาลจะพบความชุกของโรคฟันผุในระดับที่สูงเช่นกัน [25]
สำหรับผลการศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางกายภาพต่างๆที่มีต่อการเกิดโรคฟันผุในเด็กซึ่งพบว่า ปัจจัยน้ำหนักและส่วนสูงเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคฟันผุในเด็ก โดยพบว่า เด็กที่มีน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์นั้นจะมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์ 4 เท่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ส่วนปัจจัยด้าน เพศ พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ และลักษณะการสบฟันนั้น พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุ ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับหลายการศึกษาในอดีต เช่น การศึกษาในประเทศอเมริกาในปี ค.ศ.1999–2002 ที่พบว่า เด็กที่ภาวะทางโภชนาการสูงกว่าเกณฑ์มีอัตราการเกิดฟันผุที่สูงและมีค่าเฉลี่ยการเกิดฟันผุที่สูงกว่าเด็กที่มีภาวะทางโภชนาการปกติ [26] หรือ การศึกษาของ วิลเลอร์ฮอว์เซน ในปี ค.ศ. 2004 ในประเทศเยอรมันที่พบว่าการเกิดฟันผุแปรผันตามกับน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กนักเรียน [6] สอดคล้องกับการศึกษาของ แคนเทกิน ในปี ค.ศ.2012 ในประเทศตุรกีที่ พบว่า ค่าเฉลี่ยการเกิดฟันผุแปรผันตามกับค่าดัชนีมวลของร่างกาย [7] และการศึกษาของโมจารัดในปี ค.ศ.2009 ที่พบว่า เด็กที่มีภาวะโภชนาการสูงกว่าเกณฑ์จะมีค่าดัชนีผุ ถอน อุด สูงกว่าเด็กที่มีภาวะโภชนาการปกติและต่ำว่าเกณฑ์ [27] โดยสาเหตุที่ผลการศึกษามีความสัมพันธ์ดังกล่าว อาจเป็นเพราะเด็กที่มีภาวะทางโภชนาการที่ดีหรือมีน้ำหนักเกินนั้นมีแนวโน้มในการบริโภคอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตมากกว่าจึงมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม โรคฟันผุนั้นเป็นโรคที่มีสาเหตุจากพหุปัจจัย ดังนั้นการศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฟันผุนั้นจำเป็นที่จะต้องกำจัดปัจจัยรบกวนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยอาจทำการตั้งคุณสมบัติเพื่อคัดแยกกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงตามจุดประสงค์ของการศึกษา และควรมีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยรูปแบบการศึกษาวิธีอื่นๆ เพื่อสามารถนำผลการศึกษามาเปรียบเทียบหรือใช้อธิบายความสัมพันธ์ได้ในวงกว้างต่อไป
สรุป
ปัจจัยด้านน้ำหนักและส่วนสูงมีผลความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุในเด็กช่วงอายุ 5-7 ปี โดยในกลุ่มเด็กที่มีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์นั้นมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ 4 เท่า ส่วนปัจจัยด้านเพศ พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ และลักษณะการสบฟัน ไม่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดฟันผุ
เอกสารอ้างอิง
ไม่มีความเห็น