ภรรยาเป็นครู ?


                                มีภรรยาเป็นครู!!

                                                     

          ผู้อ่านอาจจะงงๆ กับหัวข้อเรื่อง ขอทำความเข้าใจกันก่อนในประโยค “มีภรรยาเป็นครู” กับ “มีครูเป็นภรรยา” มันน่าจะมีความหมายเหมือนกัน แต่มันมีความแตกต่างในเชิงการปฏิบัติ คือ

          “มีภรรยาเป็นครู”“ครู” แปลว่าผู้สั่งสอนศิษย์ ครูสอนศิษย์ที่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาหรือเด็กเล็กนั้น เด็กมักตั้งใจฟังไม่ค่อยจะเถียงหรือโต้แย้ง ครูสตรีเมื่อมีสามีแล้วก็มีความคิดว่าสามีจะต้องเชื่อฟังเหมือนนักเรียน กลับมาอยู่บ้านจึงลืมตัวจะพยายามสั่งสอนสามียังกับเป็นนักเรียน หากเป็นสามีที่อดทนก็จะนิ่งฟังไป หรือรับฟังไว้ คุณภรรยาก็ได้ใจคิดว่าคุณสามีของฉันช่างแสนดีอยู่ในโอวาทเรียบร้อยดี แต่สามีจะเกิดอาการเก็บกด ออกไปหาเพื่อนหรือคนนอกบ้านที่ตามใจ เอาอกเอาใจ ไม่เป็นคนช่างสอนนอกบ้านเผอิญหากเป็นผู้หญิงก็เกิดเรื่องบ้านแตก

          แต่หาก ภรรยาเป็นครู สามีก็เป็นครู คงไปด้วยกันได้เพราะเป็นครูด้วยกันต่างมีวิชาครูและจิตวิทยาครูด้วยกัน รู้เท่าทันกัน ค่อยผ่อนปรนกันไป ฉะนั้นสามีครูภรรยาครูจึงอยู่กันได้ดีครอบครัวไม่แตกแยก นอกจากสามีครูสันดานไม่ดีสันดานเจ้าชู้มาแต่กำเนิดก็ช่วยไม่ได้

          “มีครูเป็นภรรยา” คือครูเป็นภรรยาที่รู้หน้าที่ของตนเองว่ากลับมาถึงบ้านแล้วต้องทำหน้าที่ของภรรยาไม่ใช่เอาหน้าที่ของครูมาปฏิบัติต่อสามีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ผิดต่อบุคคลและสถานที่

          ผมขอยกหน้าที่ของสามีภรรยาตามหลักพระพุทธศาสนาที่ยังทันสมัย ทันโลก มาแสดงดังนี้

          หน้าที่สามีที่ปฎิบัติต่อภรรยา

              1 ให้ความนับถือยอมรับฐานะภรรยาและคู่ครอง

              2 ยกย่องให้เกียรติไม่แสดงอาการเหยียดหยามดูหมิ่น

              3 มีความซื่อสัตย์ ไม่นอกใจ

              4 มอบหน้าที่เป็นใหญ่ แสดงความไว้วางใจในงานบ้าน

              5 หาเครื่องประดับ เครื่องแต่งตัว มามอบให้เป็นของฝากของฝัน แสดงน้ำใจรักไม่จืดจาง

          หน้าที่ของภรรยาที่ปฎิบัติต่อสามี

              1 จัดดูแลงานบ้านให้เรียบร้อยเป็นอันดี

              2 ใส่ใจสงเคราะห์คนข้างเคียง คือหมู่ญาติและข้าทาสบริวารเป็นอันดี

              3 ซื่อสัตย์ ไม่ประพฤตินอกใจสามี

              4 ช่วยประหยัด ดูแลทรัพย์สิน ที่หามาได้

              5 เป็นผู้ขยัน เอาใจใส่ ไม่เกียจคร้านในการงานทั้งปวง

          เข้าเรื่องของผมเลยดีกว่า ก่อนที่ผมจะมีภรรยาเป็นครู ก็มีหนทางให้เลือก ๓ ทาง ว่าจะเลือก (1) ภรรยาเป็นพยาบาล(ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เหล่พยาบาลอยู่) (2) ภรรยาเป็นลูกเฒ่าแก่ใหญ่ในตลาด หรือ(3) ภรรยาเป็นครู กันดี

          เมื่อผมย้ายไปรับราชการครั้งแรกที่อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์เมื่อปี พ.ศ. 2508 พบครูสาวคนหนึ่ง (ขออุบชื่อเธอเพราะเธอคือคู่ชีวิตผมจริงๆ) สอนอยู่โรงเรียนใหญ่ใกล้อำเภอ มองอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจว่าคนนี้แหละใช่เลยที่เราจะเลือกเอาเป็นภรรยา เหตุผลคือเป็นครูที่ขยันขันแข็งสอนหนังสือก็ตั้งใจสอน งานบ้านก็ดี หมดงานสอนแล้วกลับบ้านก็ช่วยพี่สาวขายข้าวแกง ขายก๋วยเตี๋ยว หน้าโรงหนังในตลาดอำเภอลาดยาว ค่ำแล้วกลับบ้านก็ต้องมาช่วยพี่สาวอีกคน สอยเสื้อผ้าที่ตัดขึ้นรูปไว้ แล้วจึงไปเตรียมการสอน ประการสำคัญเตี่ยเป็นอดีตกำนันตำบลหนึ่งในอำเภอลาดยาว ลาออกจากตำแหน่ง อพยพเข้ามาปักหลักค้าขายในตลาดจนเป็นที่นับหน้าถือตาของกลุ่มคนจีนในตลาด เป็นระดับผู้นำของพ่อค้าในตลาดทีเดียว

          ผมตัดสินใจเลือกเธอซึ่งพ่วงทางเลือกไว้ถึง ๒ ทาง คือ จะได้ภรรยาเป็นลูกเฒ่าแก่ใหญ่ในตลาด และเป็นครูอีกด้วย ไม่ยากจนแน่ๆ แต่ผมเป็นลูกชาวนาบ้านนอกเป็นเด็กวัดมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงเรียนจบมหาวิทยาลัยก็อาศัยวัดมาตลอดพ่อมีลูกมากถึง ๗ คน ผมเรียนมากกว่าพี่น้องคนอื่นพ่อจึงไม่ยกที่นาให้สักไร่เดียว มีแต่เงินเดือนพอยาไส้ไปเดือนๆ แถมกู้สหกรณ์ออมทรัพย์พอประทังชีพไปได้บ้างในบางโอกาส จะเก็บเงินที่ไหนไปขอลูกสาวเฒ่าแก่ในตลาดได้

          เมื่อเลือกแล้วก็วางแผนต่อไป คือ ผูกปิ่นโตบ้านเธอมื้อเช้าเย็น ๒ มื้อ อยู่อำเภอลาดยาวได้ ๖ เดือนก็ย้ายไปอยู่อำเภอชุมแสงอยู่เกือบปี แล้วย้ายไปอยู่บรรพตพิสัยได้ประมาณ ๑ เดือน แล้วสุดท้ายก็ย้ายเข้าไปอยู่ในกรมการปกครอง พักหอพักข้างวัดสุทุศน์ฯ ใกล้กรมการปกครองที่สุด ใช้การสื่อสารความรักกันทางจดหมาย สมัยนั้นโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์ระดับอำเภอไม่มีเครือข่ายคู่สาย โทรมือถือยังไม่เกิด ไปเยี่ยมกันต้องนั่งรถไฟจาก กรุงเทพฯ-นครสวรรค์ ไป-กลับเดือนละครั้ง ไปพักบ้านเพื่อนซึ่งเป็นผู้ช่วยป่าไม้อำเภอลาดยาว อ่อยเหยื่อทอดเวลาไปเรื่อยๆ บังเอิญสอบเรียนต่อที่ NIDAได้จึงอ้างกับเธอดึงเวลาไปได้อีก จบมาแล้ว จนเธอรู้ตัวว่าหากคอยต่อไปจะเป็นขี้ปากเพื่อนในโรงเรียนและชาวบ้านร้านตลาด เพราะอายุ ๓๐ ปี แล้ว รอมาตั้ง ๖ ปี ตั้งแต่ยังเป็นสาว เอ๊าะๆ อายุ ๒๔ ปี เธอจึงเตือนให้มาขอกับเตี่ยเสียที เตี่ยก็พูดเป็นนัยๆ ว่าถ้าชอบกันจริงไม่เรียกร้องอะไรมากมาย ขอให้มีค่าน้ำนม ๔๔ บาท อีโต้ขัดหลังมาเล่มเดียวก็พอ(อีโต้ก็คงหมายถึงเครื่องมือหากินคือความรู้) เข้าทางผมเลย ผู้ช่วยป่าไม้อำเภอเพื่อนรักกันก็จัดการไปทาบทามเตี่ยเป็นเบื้องต้นก่อนเปิดทางให้ แล้วจึงให้คุณพ่อผมไปพูดจาสู่ขออย่างเป็นทางการก็ลงเอยด้วยดีตามทางเลือกเป้าหมายของชีวิต งานพิธีมงคลสมรสจึงเกิดขึ้นที่ ร้านบุณยะวรรธนะพานิช ตลาดลาดยาว ณ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๑๔

          เมื่อเธอกับผมเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว ก็หอบหิ้วย้ายติดตามกันไปทุกหนทุกแห่ง อาชีพผมต้องย้ายแต่ละแห่งไม่เกิน ๓ ปี เธอต้องย้ายที่ทำงานและโรงเรียนที่สอนติดตามผมถึง ๑๖ แห่ง จนเกษียณอายุราชการในตำแหน่งครูทำงานนาน ไม่ใช่ครูชำนาญการ ครับ

          มาถึงจุดหมายที่ว่า ผมมีภรรยาเป็นครู หรือ มีครูเป็นภรรยา แรกก็มีเหมือนกันในบ้านเธอก็จะสอนว่าทำอย่างนี้ซีทำอย่างนั้นซี ตามนิสัยของครูที่สั่งสอนนักเรียนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วนักเรียนก็ทำตาม ก็นำมาสอนให้ผมต้องทำอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง ผมก็ใช้วิธีการของผมคอยทำตามที่เธอบอกและคอยเบรคเธอไว้บ้าง แล้วค่อยพูดค่อยคุยกัน ประกอบกับผมหูตากว้างไกลกว่า เคยเข้ามาเล่าเรียนและทำงานในเมืองกรุงผมจึงชำนาญถนนหนทางในกรุงเทพฯ เธอชำนาญพื้นที่ในต่างจังหวัด ผมจึงสอนเธอให้ขึ้นรถเมล์ประจำทางบ้าง ครั้งหนึ่งไปโรงพยาบาลราชวิถีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขาไปผมพาเธอไป บังเอิญผมมีธุระไปที่อื่นก่อน จึงให้นั่งรถเมล์ประจำทาง สาย ๒๙ เส้นทางหัวลำโพง-รังสิต กลับบ้านที่ตลาดสี่มุมเมือง ย่านเซียร์ รังสิต ด้วยตนเอง เธอกลับนั่งรถเมล์ย้อนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไปหัวลำโพง เพราะไปรอรถเมล์ผิดป้าย แล้วนั่งย้อนจากหัวลำโพง กลับรังสิต แสดงยี่ห้อของครูต่างจังหวัด เธอจึงยอมรับว่าครูนั้นไม่ใช่จะรู้อะไรไปทุกอย่างนอกจากตำราที่สอนเด็ก

          ส่วนนอกบ้านในหน้าที่การงานของผม ใครคิดจะมาหาหลังบ้านก็คงจะยากเพราะกลางวันเธอไปสอนหนังสือกลับมาถึงบ้านก็จะพร้อมกันใครจะมาแอบลอบบี้หลังบ้านก็คงจะยาก ถ้ามีโอกาสพบเธอหลังบ้านที่บ้านหรือที่อื่น เธอก็จะพูดว่า”ไม่รู้เรื่องเขาหรอก แล้วแต่พี่เขา”เธอมักจะพูดปิดประตูอย่างนั้น

          ที่เดินไม่สะดวกอยู่ทุกวันนี้โดยผมต้องประคองจูงเธอ เหตุเพราะเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เธอติดตามผมไปรับราชการเป็นครูสอนที่โรงเรียนวัดศรีอุบลรัตนาราม จังหวัดอุบลราชธานี ไปยืนดูทางโรงเรียนจัดบอร์ดนิทรรศการให้นักเรียนดู ตรงทางลงบันไดของตึกชั้น ๓ คงจะยืนหมิ่นริมบันไดทางลงพลาดตกบันไดซึ่งเป็นบันไดปูนลงมา ๙ ขั้น กะโหลกแตก เลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดใส่กะโหลกเทียมนอนโรงพยาบาลอยู่ ๕ เดือน รอดชีวิตเดินกระย่องกระแย่งมาได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว เราเลือกของเรามาแล้วก็ต้องประคับประคองกันไป

          สรุปเลยนะครับว่าผมมีครูเป็นภรรยา ไม่ใช่มีภรรยาเป็นครู อย่างที่ผมตั้งชื่อเรื่องไว้ เพราะเธอไม่ได้สั่งสอนผมได้มากอย่างที่คิด มีแต่ผมต้องประคับประคองดูแลเธอ ”เพราะเป็นความรักที่ให้แล้วให้เลยเอาคืนไม่ได้” มีเพื่อนแก้ว เพื่อนรักของผมแอบกระซิบว่า ”แกเคยหาเศษหาเลยนอกบ้านบ้างหรือไม่เพราะหน้าที่การงานของแกมันพบปะประชาชนที่เป็นสาวแก่แม่หม้ายเยอะแยะ” ผมปฎิเสธอย่างสิ้นเชิง เพราะคดีความในศาลนั้นหากรับสารภาพจะได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง แต่คดีตามกฏหมายผัวเมียนั้นรับสารภาพมีโทษหนักถึงประหารพวงสวรรค์ทีเดียวนะเพื่อนแก้วเอ๋ย...แฮ่ แฮ่ !!

หมายเลขบันทึก: 567923เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2014 05:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2014 16:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

* บางกรณีต้องถือว่า เป็นความโชคดีสองชั้น หากปรับให้สมดุลกัน....

* คุณพ่อมีคุณแม่อาชีพครู...ลูกๆโชคดีสองชั้น....

* เก็บบันทึกนี้มาฝากค่ะ...

แม่ผู้เป็นครูคนแรกของลูกๆ

http://www.gotoknow.org/posts/497066

...ภรรยาเป็นครูที่สวยนะคะ

-สวัสดีครับ

-ตามมาอ่่านแบบอย่างการ"ครองเรือน"ครับ

-ขอบคุณครับ..

เรื่องราวความรักความผูกพันธ์ที่อยู่กันจนแก่เฒ่าเป็นเรื่องน่ายกย่องและนำมาเผยแพร่เป็นอย่างยิ่งค่ะ ขอบคุณนะคะ

ปล. หน้าแรก GotoKnow ปรับใหม่แล้วนะคะ ใหม่! ส่วนตั๊ว ส่วนตัว กับหน้าแรกของ GotoKnow

อ่านแล้วมีความสุข

ได้ทั้งความรู้และเรื่องการครองคู่

ขอบคุณมากครับ

เคยอ่านหนังสือของพระอาจารย์พยอมอยู่เล่มนึง
ท่านไปเทศน์สอนครู เข้าใจว่าครูทั้งหมดที่นั่งฟังท่านเทศน์วันนั้น
ท่านว่า "ผู้หญิงที่เป็นครูนี่แหละตัวดีนัก!
สอนนักเรียนที่โรงเรียนอย่างเดียวไม่พอ!
กลับมาบ้านเที่ยวสอนผัวอีก!"
อ่านข้อเขียนนี้เพราะตัวเองก็เป็นครู
และก็เป็นภรรยาด้วย
พยายามไม่สอนคนที่บ้าน
แต่เมื่อเช้าคนที่บ้านเพิ่งจะพูดว่า
"หยุดพูดเสียทีได้มั้ย!"
****อ่านเรื่องราวของอาจารย์แล้ว สนุกมาก
เหมือนเด็กได้นั่งฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องเก่าให้ฟัง
ปีที่อาจารย์แต่งงาน พ.ศ.2514 นั้น
หนูเพิ่งอายุได้ไม่กี่เดือน!!!

จะขอติดตามเป็นแฟนคลับอาจารย์ไปตลอดค่ะ



(น้องต้นโมก ลูกชายคนเล็กเมื่อวันวิสาขบูชา)

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท