ฝรั่งมังค่า (3-79)


เฮ้อ...จะเห่อ "ฝรั่งมังค่า" ทั้งที เรื่องดีๆ ไม่เอาอย่าง ไปเอาเยี่ยงเรื่องแย่ๆ ทำไมก็ไม่รู้ซี...

เมื่อวานตอนหัวค่ำหลังการประกาศรัฐประหาร (22 พ.ค.57)

ระหว่างรอขึ้นรถไฟฟ้า BTS เห็นเด็กหนุ่มชาวออสเตรเลี่ยนและชาวจีน (รู้จากการคุยกันอย่างเปิดเผยของเขา) ยืนเข้าแถวอยู่ข้างหน้ารอขึ้น BTS ซึ่งคนแน่นมาก เพราะทุกคนรีบกลับบ้าน ทั้งสองดูไม่ทุกข์ร้อนนัก คุยกันเสียงดังและวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองไทยต่างๆ นานา สาวไทยที่ยืนข้างๆ ซึ่งผู้เขียนแอบเรียกเธอว่า "สาวSelfie" (เพราะเธอเพียรถ่ายภาพตัวเองด้วย Smart phone อย่างเปิดเผยเมามันไม่แคร์สายตาใคร) ก็ยิ้มพยักพเยิดเออออกับหนุ่มทั้งสอง แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่รู้เรื่องสาระที่พูดเลย เพราะระหว่างที่เธอ Selfie สองหนุ่มนั้นก็วิจารณ์เธอทำนองว่า "หลงตัวเอง ไร้สาระ"... ทำหน้าตาและน้ำเสียงดูหมิ่นด้วย สังเกตเห็นเด็กสาวๆ อีกหลายคนก็พลอยยิ้มแย้มไปกับการพูดตลกคะนองและท่าทางแปลกๆ ของคนทั้งคู่ โดยไม่แน่ว่าจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า

ฉันฟังสาระที่วิจารณ์นั้น แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจหลายเรื่อง (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการเมืองและราชวงศ์ไทย) ทั้งคู่พูดไปก็หัวเราะส่งเสียงดังและทำหน้าตาประกอบสิ่งที่พูดอย่างออกรส หนุ่มออสซี่กล่าวพาดพิงถึงราชวงศ์ว่าเป็นต้นเหตุและอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและวิพากษ์ว่าเขา up set กับเมืองไทยมาก ทำให้โปรแกรมของเขาต้องเลื่อนไปหมดเลย... ฯลฯ

ทนฟังอยู่ระยะหนึ่งจนอดรนทนไม่ได้ จึงถามเขาว่าที่เขาพูดนั้นได้ข้อมูลจากไหน เขาทำหน้าแปลกใจที่คนไทยหน้าแบนๆผิวเหลืองๆพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษ เขาตอบว่า...อ่านจาก Time ฟังข่าว CNN. BBC. ถามย้อนกลับไปว่าแล้วเคยฟังข่าวของไทยไหม? เขาเบะปากยักไหล่แบมือพร้อมสั่นหน้า (แปลได้ว่าไม่สนใจ/ไม่เชื่อถือที่จะฟัง) ท่าทางนั้นช่างระคายตาระคายใจ ฉันอาจคิดไปเองว่าเขาแสดงอาการ "ดูถูก" หายใจลึกๆ แล้วเรียบเรียงความคิดในการจะสื่อสารกับหนุ่มสองคนนั้น บอกเขาว่า...คนไทยถูกสอนให้เสพข่าวหลายๆด้าน อย่างใช้ปัญญา (wisdom not only information) คนไทยโดยทั่วไปรักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ คุณมาอยู่ในประเทศไทยไม่รู้หรือว่าไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอย่างนี้ในที่สาธารณะ (วิจารณ์ในที่ของคุณก็ไม่มีใครห้ามคุณหรอก)

ข้อสำคัญอย่าคิดว่าที่คนไทยยิ้มๆ นั้น เขาฟังภาษาคุณไม่ออกหรือเขาเห็นด้วย แต่เขามีมรรยาทและให้เกียรติคน ไทยเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ มีวัฒนธรรมดีงาม แม้ไม่เจริญทางวัตถุเหมือนประเทศคุณ แต่เราเจริญทาง "จิตใจ" เพราะเราให้เกียรติคนทุกเท่าเทียมกัน เราคิด พูด ทำโดยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น และเรามีอัธยาศัยดีต่อคนต่างชาติที่เราถือว่าเป็น "แขก" เราอาจไม่ถือสาหาความ (คนไทยลืมง่ายจะตายไป) ความหยาบคายของบางคน แต่เรา "รู้สึก" และต้องย้ำว่าคุณอาจไม่รู้ว่าบางคนที่ฟังอยู่ เขากำลังหัวเราะที่คุณพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงเช่นนั้น... ฯลฯ

เพื่อนที่รอรถอยู่ด้วยกัน บอกว่าสีหน้าทั้งสองเปลี่ยนไปขณะที่ฉันพูด พูดยังไม่จบดี สองหนุ่มก็เดินหายไปกับ สาวSelfie คนนั้น...โอ๊ะ มรรยาทแย่จัง ยังพูดไม่จบเลย ไปเสียแล้ว...แหม...บ่นแค่นี้ ทนฟังไม่ได้เนอะ...ฮาๆๆๆๆๆ

กลับถึงบ้าน...ได้ข้อคิดว่า

1.คนไทยส่วนใหญ่ให้เกียรติกับ "ฝรั่ง" โดยเฉพาะพวกที่ใช้ "ภาษาอังกฤษ" มากเกินไป (สรุปง่ายๆว่า "เห่อฝรั่ง") คนทุกชาติทุกภาษามีทั้งคนดีและคนไม่ดี การให้เกียรติน่าจะหมายถึงการยอมรับและเคารพในสิ่งที่เขามีเขาเป็นไม่ว่าจะมีผิวสีใด ชาติไหน ภาษาอะไรมากกว่า  และหากใครที่ไม่ให้เกียรติชาติบ้านเมืองวัฒนธรรมของเรา เราควรแสดง(อย่างสุภาพ)ให้เขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับกิริยาวาจาการแสดงออกที่ไม่ดีนั้น ฝรั่งไม่ใช่เทวดา ก็คนธรรมดา ดีไม่ทั่ว ชั่วไม่หมดเหมือนๆ กับเรานี่เอง

2.เราต้องฝึกการสื่อสารด้วยภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยให้ดี ต้องสื่อสารได้ ฟังได้ อ่านออกเขียนได้ ภาษาคือแต้มต่อที่ทำให้เราได้เปรียบ เพราะทำให้ "รู้" ว่าชาติอื่นคิดพูดทำอย่างไร จะว่าไปการสื่อสารด้วยภาษาอื่นๆ ได้นอกจากภาษาไทย นับเป็นความสง่างาม แต่ก็อีกนั่นแหละ การเก่งภาษาต่างชาติไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนวิเศษกว่าคนอื่น แต่เมื่อ "รู้ภาษา" แล้ว นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้ต่างหาก จึงจะเก่งจริง

3.กรณีของ "สาวSelfie" ทำให้เห็นชัดว่าคนไทยมีธรรมชาติเหมือนน้ำ ที่โอนอ่อนผ่อนตาม ไม่ชอบขัดใจคน อ่อนหวาน เอาอกเอาใจ ซึ่งเป็นข้อดี แต่ที่น่าเสียดายคือ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีอะไร "ฮิต" เราต้องเอาอย่าง ไม่มีตกเทรนด์ ทันสมัยเสียจนหลงลืมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ (น่าเสียดายจริงๆ) ทำให้ฉันคิดอยากสอนวิชา "Smart and Charming Girl" ให้เด็กวัยรุ่นหญิงยุคนี้ ได้ตระหนักและเห็นคุณค่าที่ตนมี ไม่จำเป็นต้องขาว ผอม ขนตายาว ใช้ของแบรนด์เนม พูดภาษาอังกฤษเก่ง ไปซัมเมอร์ที่อังกฤษ/อเมริกา แต่ควรมั่นใจในความคิดความสามารถ ความอ่อนหวานเรียบร้อย เอื้อเฟื้อ นั่นคือ "ดีงาม" ในตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่แล้วและเป็นความงามที่ยั่งยืนคงทนด้วย

คิดไปบ่นไปก็อมยิ้มไป...

เฮ้อ...จะเห่อ "ฝรั่งมังค่า" ทั้งที เรื่องดีๆ ไม่เอาอย่าง ไปเอาเยี่ยงเรื่องแย่ๆ ทำไมก็ไม่รู้ซี...☺ 

หมายเลขบันทึก: 569023เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2014 23:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2014 23:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

...ฝรั่งชอบพูดตรงๆ... คนไทยสามารถบอกฝรั่งได้ ...แต่ก่อนอื่นก็ต้อง say Hi how are you กันก่อน...และต้องถามก่อนว่าฉันจะพูดคุยกับพวกเธอได้ไม่...ถ้าฝรั่ง say yes /...sure ...คนไทยก็อย่าลืม... thank you..โดยมารยาท. และบอกฝรั่งได้เลยว่า ...I'm sorry that I heard you slandered Thai Royal family.Do you know you can't talk about this one.Because, it's Thai illegal. คิดว่าฝรั่งน่าจะ I'm sorry,I don't know, thank you thank you very much ...&  nice to meet you  คนไทยที่บอกเขาอย่างแน่นอนนะคะ

ฝรั่ง..คงเข้าใจ..คำว่า..สุดซอย..ไปคนละอย่าง  กับคนไทย..แม้ว่า..คนไทยและฝรั่งต่างคนก็รู้ภาษากันและกัน..นะเจ้าคะ...และก็คงจะใช้..คำว่า..ช่างหัวมันไม่เป็นทั้งคู่..อิอิ

จุก....แน่น  ในความรู้สึกนึกคิด

ครับ...
ขณะหนึ่งก็เหมือนประหนึ่งว่า
คนไทย -บูรณาการได้เก่ง เยี่ยมยุทธ ครับ

สวัสดีค่ะพี่ Pojana Yeamnaiyana D.Ed.

ขอบคุณคำชี้แนะของพี่ค่ะ

ได้ทักทายเขาตามธรรมเนียมค่ะและขออนุญาตถามเด็กหนุ่มสองคนนี้ ทั้งที่ตอนทำนั้น เดือดปุดๆ คิดแค่ว่า... ไม่น่าจะให้เกียรติคนที่ไม่ให้เกียรติคนอื่น ทั้งคำพูดจ้วงจาบ ท่าทีเหยียดหยามที่แสดงกับเพื่อนคนไทย (สาว Selfie) ของเขา
ส่วนตัวน้องมีเพื่อนต่างชาติหลายคนหลายสัญชาติ ทั้งอังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น มาเลย์ เกาหลี ศรีลังกา อินเดีย อิสราเอล ฯลฯ เพราะเคยทำงานอาสาสมัครสมาคมนานาชาติที่มีสมาชิกทั่วโลก ไม่เคยเห็นมรรยาทเช่นนี้ค่ะ
และพอพูดไปอย่างนั้นแล้ว ก็ให้ขำๆตัวเองที่ตกเป็นทาสของ "ความโกรธ" จนเสียมรรยาทดังที่ว่าเขาเช่นกันค่ะ  ;)

สวัสดีค่ะคุณ ยายธี

เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ สุดซอยทั้งฝรั่งและคนไทย (ตัวน้องเอง) ฮาๆๆๆๆๆๆๆ

ทำไปแล้ว ก็แล้วกันไป แต่...ไม่เสียใจ (ตะแบงต่อไป) อย่างน้อยเขาทั้งสองควรได้บทเรียนบ้างค่ะ  ;)

สวัสดีค่ะท่าน วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--

จุกแน่น... จริงๆ ด้วยค่ะ แต่ตอนนี้หายแล้ว... ขำๆ สงสารตัวเองแทนค่ะ

ตอนอยู่ในเหตุการณ์นั้น ยากเย็นมากที่จะระงับใจ ไหนจะต้องคอยเรียก สติ เพื่อให้เกิด ปัญญา พอจะสื่อสารกับเขาด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ฯลฯ ทำให้เห็น "ตัวโกรธ" ในกมลสันดานตนชัดเจนเลยค่ะ  :)

สวัสดีค่ะอ.แผ่นดิน

คิดไปถึง "ที่สุดของกระบวนยุทธ อยู่ที่ไร้กระบวนท่า" ค่ะ

ขอบคุณค่ะ  ;)

ขอบคุณครับที่ช่วยบ่นให้สองหนุ่มนั้นได้รับรู้

ส่วนหนึ่งสาวนั้น ป่านนี้เธอคงยังไม่รู้หรอกว่าเธอคือใคร

ชอบมากครับ บันทึกนี้

ต่อต้าน ด้วยหัวใจ ความรัก และเทิดทูน

..

ชื่นชมคุณหยั่งรากมาก จริง ๆ ครับ

ขอบคุณค่ะ ขอเทิดทูนในหลวงและราชวงศ์ค่ะ

  • แม้ผมจะชอบกินฝรั่ง..แต่ผม.ก็ไม่่เห่อฝรั่งน๊ะ จะบอกให้.. 55555
  • บ่นได้ดี..เข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจจริงๆครับ

สวัสดีค่ะคุณ ลุงชาติ

คอมเม้นท์คุณลุงชาติ ได้ใจ จริงๆ 

ขอบคุณค่ะ  ;)

สวัสดีค่ะคุณแสงแห่งความดี...

ขอบคุณค่ะที่แวะมาให้กำลังใจค่ะ  ;)

ขอบคุณคุณtuknarak ค่ะ  

สำหรับคนอื่นๆที่มีการด่าทอโจมตีกัน... พอเข้าใจได้ว่าความคิดเห็นต่างกัน
แต่กับ "ในหลวง" มีการโจมตีใส่ร้ายพระองค์ท่าน... ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับค่ะ

โอ้ มาเข้มอีกละ พี่Green 555 ...........  ชอบๆ  โดนซะบ้าง....   //  ผมสอน นศ. ผมเสมอว่า ....หารู้ไม่ ฝรั่งส่วนใหญ่ ถ้าเขาเก่งจริง เขาไม่เลือกมาทำงานในไทยหรอกครับ (เขาทำงานที่ประเทศเขา หรือตะวันตก รายได้ดีกว่ามาก) ดังนั้น ฝรั่งที่ผมเห็น ถ้าวัดกันที่ความรู้แล้ว นักศึกษาไทยเก่งกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่พูดภาษาเขาไม่เก่ง เลยต้องฟังมันโม้ 555 

สวัสดีค่ะคุณ สามสัก(samsuk)

บ่นจนฝรั่งเดินหนี สงสัยฟังภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ไม่ออกค่ะ  ฮาๆๆ ;)

สวัสดีค่ะท่าน วิชญธรรม

ช่วงหลังๆ การเมืองทำให้ จิตตกและสติแตก ไปเยอะค่ะ

เก่งหรือไม่เก่งภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ว่ากัน เพราะการใช้ 'ภาษา' เป็นเรื่องของ ทักษะ ไม่ได้ใช้ทุกวันหากเก่งหรือคล่องเหมือนคนที่ใช้อยู่ทุกวันก็นับว่าแปลกแล้ว

หนุ่มฝรั่งสองคนนี้น่าจะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนระดับอุดมศึกษาที่ยังคึกคะนอง พูดจาโดยไม่ระวัง และพี่คิดว่าคนไทยเองก็มักจะทำให้คนเหล่านี้นิสัยเสีย เพราะสปลอย์ฝรั่ง ลืมคิดไปว่าบางเรื่องบางประเด็น เช่น ประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์นั้น เราต้องช่วยกันระวังและถวายพระเกียรติท่านในฐานะที่เป็นประมุข/สัญลักษณ์ของชาติบ้านเมืองค่ะ   

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท