เปรตหิน...ที่เชียงใหม่


            

ภาพจากจินตนาการ

                เปรตหินที่กล่าวถึงพบว่ามีลักษณะเป็นหินธรรมชาติ ก้อนสูงใหญ่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า  ตัวหินจะมีรูปร่างเป็นกลุ่มหินคล้ายโขลงช้าง แต่แบนราบดังเช่นเดียวกับเรือ ทอดยาวลงมาด้านล่างและเรียบลงไปติดกับพื้นดิน ตัวหินจะโผล่เหนือพื้นดินขึ้นมาพอประมาณ มองดูเหมือนภูเขาลดหลั่นกันลงไป ด้านล่างจะเป็นลำห้วย มีน้ำไหลริน พื้นที่ซึ่งพบหินดังกล่าวคืออำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในป่าทึบหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีฝนตกเกือบทุกวัน และมีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุม ในฤดูหนาวจะมีเหมย ( น้ำค้าง ) ตกปกคลุมเกือบตลอดเวลา อากาศจะหนาวและเย็นจัดในฤดูหนาว ล่ำลือกันว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีความเฮี้ยนยิ่งนัก เวลามีพระหรือแม่ชีขึ้นไปปฏิบัติธรรมก็อยู่ไม่ได้ หลายรูปและหลายคนจะถูกผีหลอก บางทีนั่งสมาธิอยู่ดีๆ ก็โดนตบกระหม่อม ถึงกับเคยมีผ้าขาวและพระภิกษุมาเสียชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ 
             เคยมีชาวบ้านหลายพวกที่ย้ายเข้ามาอยู่ แต่ไม่นานก็ต้องย้ายหนีหรือไม่ก็ต้องเสียชีวิตลง ภิกษุบางองค์มาใช้บริเวณดังกล่าวปฏิบัติธรรม ก็พบว่ามีงูอยู่มากมายแต่งูเหล่านั้ก็ไม่ได้ทำอันตรายแก่ภิกษุผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ บางครั้งยามค่ำคืนก็จะเห็นดวงไฟเป็นรูปสีเขียวหรือสีอื่นๆลอยขึ้นมา จากบริเวณดังกล่าว เล่าขานกันว่าภายใต้บริเวณหินจะมีลักษณะคล้ายถ้ำที่มีทรัพย์สมบัติของคนโบราณฝังอยู่ แต่ก็ไม่สามารถค้นหาพบหรือนำขึ้นมาใช้ได้ ต้องรอจนถึงยุคของพระศรีอริยเมตไตรยถึงจะนำทรัพย์สมบัติดังกล่าวมาใช้ได้
              ส่วนเรื่องราวความเป็นมาของเปรตหินหรือมหาศิลาเปรตนั้น  ได้มีการบันทึกและเล่าต่อกันต่อๆมานับกัปนับกัลป์ แม้ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นี้ พระองค์ได้ทรงตรัสเล่าถึงอดีตกาลที่ผ่านมาแล้วประทานแก่พระอานนท์และพุทธสาวกว่า " ดูกรอานนท์ ก้อนศิลานี้มิใช่ศิลาแท้จริงดอกแต่เป็นก้อนอสุรา ที่กลับกลายเป็นก้อนศิลา ศิลานี้เคยเป็นพุทธสาวกในพระพุทธเจ้า พระนามว่า วิปัสสี สมัยนั้นท่านเป็นพระสังฆนายกถืออำนาจบาตรใหญ่ บังคับเอาของของคนอื่นมาเป็นของตน ตนเองเป็นพระภิกษุ แต่มักมากถือว่าตนเองฉลาด คิดว่าตนเองได้ของมาโดยบริสุทธิ์ โดยมิได้คำนึงถึงความผิดถูกตามพระธรรมวินัย ถือว่าตนเองเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า แลเป็นใหญ่เอาของสงฆ์มาใช้ตามอำเภอใจ จึงทำให้เกิดเป็นศิลาเปรต อยู่ในบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้งสามพระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ ทุกพระองค์ และแม้พระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นี้ และจักประทับรอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว"
              เห็นได้ว่าการที่พระภิกษุผู้ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น แม้จะไม่มีเจตนาเพระาคิดว่าตนเองทำถูกต้อง ก็ยังมีโทษเป็นเอนกอนันต์ ต้องตกนรกหมกไหม้อยู่นานแสนนาน ถึงแม้จะผ่านจากนรกภูมิขึ้นมาแล้ว ก็ยังต้องมาเกิดเป็นหินเปรตเพื่อชดใช้กรรมต่อไป แม้จะได้รับพระเมตตาจากพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมาประทับรอยพระพุทธบาทไว้แล้วถึงสี่พระองค์ หินเปรตนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม คงต้องรอองค์พระศรีอริยเมตไตรยที่จะทรงมาประทับรอยพระพุทธบาทเป็นองค์สุดท้าย เปรตหินนี้ก็คงจะพ้นจากกรรมดังกล่าวเสียที
              สำหรับเราท่านทั้งหลายนับว่าเป็นบุญลาภที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน  ได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวของหินเปรต ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่ประทับรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสี่พระองค์ หรือตามที่เรียกกันในปัจุบันนีว่า " พระพุทธบาทสี่รอย " หากท่านผู้ใดมีโอกาสผ่านไปยังสถานที่ดังกล่าว ก็ควรหาโอกาสไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิตของทุกท่านนะคะ ติดตามประวัติของพระพุทธบาทสี่รอยได้ตามนี้ค่ะ  Dancing Couplehttp://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=453

                  http://phuttawong.net/index.php?ContentID=ContentID-051227111901197

                  http://buddha-dhamma.com.www.readyplanet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=24287&Ntype=6


                                                           โดย   คนบ้านเดียวกัน

หมายเลขบันทึก: 57174เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2006 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท