Facts about me, part I: 1-20


ปกติผมไม่ได้เล่นเกม chain mail ที่ปรากฏใน social media สักเท่าไร ครั้งนี้ลองดูเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเก็บเกี่ยวทบทวนเรื่องราวของตนเองในอดีต เป็นสิ่งที่อยากจะทำอยู่แล้ว และพอจะได้ทำในโทนที่ออกขำขัน ง่ายๆ ไม่ได้เป็นอัตชีวประวัติแบบเป็นทางการ แต่ไปทางสารัตถชีวประวัติ แถมปกิณกะหน่อยๆ ก็อยากจะลอง

ผลก็คือเขียนออกมายาวที่เค้าเล่นๆกันเขียน แต่ยิ่งเขียนยิ่งสนุก จบไม่ลง เลือกยากมากว่าจะเล่าเรื่องอะไรดี ไม่ได้สนใจคนจะมาอ่าน แต่สนใจตรงนี้เราจะเลือกเก็บความทรงจำของเราช่วงไหนเอามานึกถึงอีกสักครั้งอย่างละเมียดละไม ค่อยๆจิบ ค่อยๆเสพ พอเขียนจบตอนแรกและส่งไปโพสต์ตามสัญญาใน Facebook แล้ว ยังมีความรู้สึกเช่นนั้นกะลิ้มกะเหลี่ยค้างอยู่ จึงขอนำมาแขวนไว้ตรงนี้ เขียนปะหน้าไว้เป็น Part I ลองดูสิว่าจะมี. part อื่นๆตามมาอีกหรือไม่....

20 Facts about me:

ได้รับลูกมาจากท่าน Somchai Coke Tanawattanacharoen ต้อง honor ท่านสักหน่อย ประเดี๋ยวท่านจะไม่ส่งอะไรเด็ดๆมาให้อ่านอีก ไต่ถามกติกาแล้ว เป็น free-style ยิ่งดี มันจะยากตรงที่ ๒๐ ข้อนี่แหละ

ตำเตือน : ยาวมาก!!! เพราะย่อไม่เป็น

๑) เกิดวันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง (นับแบบโบราณ คือเมษาเป็นปีใหม่) เวลา ๒๓ นาฬิกา ๒๔ นาที (เผื่อใครจะนำไปผูกดวงให้) มีคนบอกว่าเป็นวันครูมาแต่เด็ก นิสัยเลยชอบพูดมาก ตำหนิติเตียนคนก็เท่านั้น กระแนะกระแหนก็เท่านั้น สั่งคนนู้นสอนคนนี้ก็เท่านั้น

๒) ลูกคนเล็กจาก ๕ พระหน่อ จึงมีทักษะ tantrum นิดหน่อยพองาม ตอนเด็กๆมีท่า "อพอลโล" (พี่ชายคนโตตั้งชื่อ ไม่ทราบเหตุผล) เวลาจะเอาอะไรที่ต้องการ คือจะทำท่าเหมือนว่ายน้ำบนบก กรีดเสียงไม่เป็นภาษาและไม่เป็นจังหวะ ไม่เข้าทำนองใดๆทั้งสิ้นเพื่อ make sure ว่ากิจกรรมที่คนอื่นกำลังทำอยู่นั้นต้องหยุดลงจนกว่าเราจะได้ดังที่ต้องการ ข้อเสียคือมักจะไม่ได้ผล (ในบ้านที่น้องเยอะๆแบบนี้ ทุกคนจะ develop ภูมิคุ้มกันต่อกลยุทธ tantrum มาหลายรูปแบบ)

๓) ตั้งแต่เกิดมาก็จมอยู่ในกองหนังสือ เพราะที่บ้านมีห้องสมุดของพ่อ มีหนังสือทุกชนิดในโลก (ตามทัศนะของเด็กน่ะ อย่าพึ่งรีบหมั่นไส้) อนุสนธิทำให้ติดการอ่านมาตั้งแต่นั้น วีรกรรมที่เคยทำก็คือ ครั้งหนึ่งพี่สาวจะมีเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ ก็มักจะเห็นเรานอนอยู่ในท่าประจำก็คือนอนคุดคู้ตะแคงข้าง มือหนึ่งถือหนังสือ อีกมือกอดหมอนเหนียวๆดำๆหอมอย่างประหลาดๆอยู่หนึ่งใบเป็นเวลายาวนาน เห็นท่านั้นทุกวัน เป็นอาทิตย์ๆ (มันปิดเทอมใหญ่ ๓ เดือน ไม่มีอะไรทำ) อยู่มาวันหนึ่ง เราเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อนพี่คนนี้เห็นเราเดินไป ก็กรี๊ดตกใจ หันไปถามพี่สาวเราว่า "น้องแกเดินได้ๆๆ" จึงพึ่งทราบว่าที่แล้วๆมานั้นแกนึกว่าเราเป็นง่อย (แบบชายน้อยในเรื่องบ้านทรายทอง) แต่ไม่กล้าถามพี่สาวเรา พอเห็นเราเดินได้ก็เลยนึกว่ามีปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้น

๔) จากข้อ ๓) นั้นเองจึงมีเหตุการณ์โดยปริยาย เช่น วรรณคดีเกือบทุกเรื่องที่เรียนๆกันเป็นตอนๆสมัยประถมนั้น เราเคยอ่านจบมาทั้งเรื่องเป็นส่วนใหญ่ สังข์ทอง รามเกียรติ ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ รวมทั้งพงศาวดารจีนต่างๆ อาทิ ซ้องกั๋ง (ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน) เปาบุ้นจิ้น เลียดก๊ก สามก๊ก วิชาวรรณคดีในยุคนั้นจึงเป็นอะไรที่ง่ายมาก ครั้งหนึ่งทำรายงานเรื่องอิเหนา ด้วยความมันเราเลยเล่ามันทั้งเรื่องเลยที่หน้าชั้น จนเกินเวลา เหลือบไปเห็นครูที่จะมาสอนชั่วโมงต่อไปมารอที่หลังห้องก็ตกใจ รีบไหว้แก ปรากฏว่าแกโบกมือให้เล่าต่อไปให้จบ (กำลังมัน)

๕) ย้อนกลับไปอนุบาลอีกที (ไม่มีกฏว่าให้เล่าตามลำดับเวลานี่หว่า พึ่งนึกออก) มีนอนกลางวันด้วย เพราะเหตุอันใดไม่ทราบจึงได้อภิสิทธิ์ที่จะได้นอนกับครูประจำชั้นทุกวัน (ซึ่งมีอยู่ที่เดียว) สองปีซ้อน (สมัยนั้นมีอนุบาลแค่สองปี เพราะเด็กสมองพัฒนาเร็วกว่าเด็กสมัยนี้ที่ต้องเรียนอนุบาลถึงสามปี) มีขวดนมประจำตัว เพราะติดกินนม มิฉะนั้นจะนอนไม่หลับ ต้องกินที่โรงเรียนไม่ยอมเลิกซะที สุดท้ายเลิกได้เพราะฟันหลุด กินแล้วมันรั่ว นอนกินไม่ได้ ตอนนั้นอยู่ประถมสอง!!

๖) มีความมั่นใจสูงโดยไร้เหตุผลมาแต่เด็ก ตอนประถมหนึ่งถึงสาม วิชาหน้าที่ศีลธรรมเรื่องพุทธประวัติ จะมีข้อสอบประจำอยู่ข้อหนึ่ง ถามว่าสถานที่ที่พระพุทธเจ้าประสูติ ปัจจุบันอยู่ในประเทศอะไร เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านเกิดที่สวนลุม เราก็ตอบว่าอยู่ในกรุงเทพ ประเทศไทย เข้าใจว่าตอบแบบนี้ไปประมาณ ๖ ครั้ง (สามปี ประถมหนึ่งถึงสาม ปีละสองครั้ง) จนในที่สุดครูต้องเรียกผู้ปกครองมาพบ เพื่อให้ปรับความเข้าใจกันว่าสวนลุมพินีวันนั้น ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เราเห็นความเครียดในสีหน้าของครูตอนนั้นก็เลยตัดสินใจตามใจแกสักหน่อย ยอมๆแกไป

๗) สมัยเรียน ตอนอนุบาลเด็กจะต้องใช้ดินสอ พอขึ้นประถมหนึ่งถึงประถมสี่จะต้องใช้ปากกาคอแร้ง ชนิดที่ต้องจุ้มหมึกเขียนเป็นตัวสองตัวแล้วจุ้มใหม่ ประถมห้าถึงหกได้รับอนุญาตให้ใช้ปากกาหมึกซึม จนกระทั่งประถมเจ็ด (ใช่ สมัยนั้นมีถึงประถมเจ็ด เราเรียนชั้นประถมละเอียดกว่าสมัยนี้ พื้นฐานจึงแน่นกว่า) ถึงจะให้ใช้ปากกาหมึกแห้ง ครูบอกว่าเพื่อทำให้ลายมือสวย (ครูคงจะผิดหวัง และไม่เชื่อในทฤษฎีนี้อีกต่อไปถ้ามาเห็นลายมือตอนนี้) อุปกรณ์การเขียนจึงเยอะมาก ต้องมีด้ามปากกาคอแร้งสองอัน อันหนึ่งสำหรับสีน้ำเงิน อีกอันสำหรับสีแดงเอาไว้ขีดเส้น มีกระดาษซับสีชมพูที่ยิ่งซับยิ่งเลอะ มีขวดหมึกสองขวด เด็กทั่วๆไปจะใช้ยี่ห้อกีวี มียางลบที่ mechanism ในการลบคือถูจนกระดาษตำแหน่งที่เขียนผิดนั้นเปื่อยยุ่ยขาดออกไป ไม้บรรทัดที่ขอบยกระดับนิดนึง เพื่อใช้ขีดเส้น (ถ้าขอบเรียบไปกับกระดาษ ขีดเส้นเสร็จเวลายกไม้บรรทัดขึ้นจะเลอะทั้งแถบ!!!) ครั้งนึงเคยเล่นๆกับเพื่อนตอนพักสิบนาทีช่วงเช้า เพื่อนมันเอาขวดหมึกสีแดงสาดใส่เราจนด้านหน้าเปื้อนทั้งตัว เราก็คว้าขวดหมึกสีน้ำเงิน (เพราะสีแดงหมดแล้ว) สาดมันบ้าง แต่โดนด้านหลังทั้งแถบ (เพราะตอนนั้นมันเริ่มออกวิ่งแล้ว แต่ก็ไม่ทัน) เด็กสองคนนี้จึงมีชุดที่สีสันสวยงามมากด้านหน้าและด้านหลัง จำได้ว่าครูพาไปโชว์ตัวตามห้องต่างๆ ดีใจมาก (จำได้ลางๆว่าโดนตีด้วย แต่ส่วนนั้นไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่)

๘) ตอนประถมหนึ่ง ครูเลือกหัวหน้าชั้นโดยดูจากขนาดตัว ได้เจ้าบึ้กมาคนนึง ปรากฏว่าพูดจาหยาบคาย (เรียกเพื่อนว่า "แก" ซึ่งหยาบคายมากเลย) ถูกปลดออก ครูเลยเปลี่ยนวิธีเลือก ถามเด็กๆว่าจะเอาใครดี เพื่อนๆเห็นเป็นโอกาสเลยเลือกคนตัวเล็กที่สุดก็คือเรา ตั้งแต่นั้นมาเราได้เป็นหัวหน้าชั้นตั้งแต่ประถมหนึ่งถึงประถมเจ็ด ต่อด้วยมัธยมศึกษาปี ๑-๓ ทั้งๆที่เปลี่ยนโรงเรียนก็ตาม

๙) ตอนประถมหกเคยไม่สบายตอนสอบ ไม่สบายมากต้องไปนอนห้องพยาบาล แต่เราไม่ยอมเพราะห่วงสอบ ต่อรองกับครูว่าขอทำข้อสอบที่ห้องพยาบาล ปรากฏว่าครูยอมแฮะ วันนั้นได้ทำข้อสอบทุกชุดในห้องพยาบาล ทำเสร็จก็โทรไปเรียกแม่มารับกลับบ้าน สอบครั้งนั้นเลยได้แค่ที่สอง เสียใจมาก

๑๐) ครูสอนวิชาภาษาไทยชื่อมาสเซอร์เหม ณ บางช้าง เคยเป็นเปรียญเก้าประโยคมาก่อน สอนภาษาไทยได้สนุกมาก และสอนได้ละเอียดลึกซึ้งแบบในวัดยังไงยังงั้น แทบจะกล่าวได้ว่าตั้งแต่จบภาษาไทยชั้นประถมเจ็ดมาแล้ว ความรู้ภาษาไทยก็อิ่มตัวอยู่แค่นั้น ที่เหลือๆเป็นการฝึกทักษะ ไม่เคยมีครูคนไหนต่อมาเพิ่มเติมอะไรจากที่เรียนในชั้นประถมเลย (ยกเว้นเรื่องการแต่งฉันท์ ที่มาเรียนที่เตรียมอุดม)

๑๑) ตอนอยู่ชั้นประถมเจ็ด มีข่าวออกมาว่าโรงเรียนที่เรียนอยู่นั้นจะเลิกกิจการ!! ต้องไปหาที่เรียนใหม่ ก็เตรียมตัวจะไปสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบ เจริญรอยตามพ่อ (พ่อคุยว่าจบสวนกุหลาบ ได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ บอร์ดหน้าโรงเรียนยังมีชื่อพ่อติดอยู่เลย ไล่ๆหลังหม่อมเสนีย์ ปราโมช) ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศแบ่งเขต ต้องเข้าโรงเรียนตามเขตบ้านที่อาศัย เด็กจำนวนมากที่อยากเข้าสวนกุหลาบใช้วิธีย้ายสำเนาสำมะโนครัวเข้าทะเบียนวัดเลียบ เพื่อจะมีสิทธิสอบเข้าสวนกุหลาบ เข้าใจว่าตอนนั้นประชากรวัดเลียบเพิ่มขึ้นหลายพันคน!!! แต่แล้วพ่อไม่ยอมให้ใช้วิธีโกงแบบนี้ ก็เลยอด ได้มาสอบเช้า รร.ทวีธาภิเศกที่อยู่หน้าบ้านแทน

๑๒) ตอนไปฟังผลสอบ ยังไม่ทันเดินไปถึงบอร์ดประกาศผลเลย เดินเข้ามาโรงเรียนกับแม่ก็มีเพื่อนวิ่งมาบอกตั้งแต่หน้าประตูว่าเราสอบได้ ได้ที่หนึ่งด้วย ตอนนั้นทวีธาภิเศกรับเด็ก ๒๐ ห้องๆละ ๔๐ คน มีเด็กชั้น ม.ศ.๑ ถึง ๘๐๐ คน เราได้อยู่ห้อง ม.ศ.๑/๑ เลขที่ ๑ เลขประจำตัวนักเรียน ๑๕๗๐๒ ครูใหญ่ชื่อสำเริง นิลประดิษฐ์ ดุมาก ถูกส่งมากำราบเด็กทวีธาโดยเฉพาะ

๑๓) รร.ทวีธาจะย้ำคิดย้ำทำเรื่องทรงผมเด็ก มีทรงเดียวคือเกรียนเขียว จะประกาศล่วงหน้าว่าจะตรวจวันไหน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราลืมตัดผม เช้าวันนั้นต้องตาลีตาเหลือก ไปเคาะประตูร้านตัดผมข้างบ้านให้ตัดให้หน่อยตั้งแต่หกโมงเช้า (โรงเรียนเข้าแถว ๗ โมง) เรียกว่าฉิวเฉียดมาก พอครูมาตรวจตามห้อง ปรากฏว่าครูบอกว่าทรงผมที่ตัดใช้ไม่ได้ ยาวไป โดนตีไปสามที เย็นนั้นกลับบ้านมาร้องไห้เสียใจมากจนตกใจหมดทั้งบ้าน คุณอาทราบเรื่องก็ไม่พอใจ (คุณอาเป็นผู้อุปถัมป์โรงเรียนรายใหญ่) ไปต่อว่าครูที่โรงเรียน บอกว่าเด็กมีเจตนาไม่ขัดคำสั่งอยู่แล้ว ทำไมยังมาตีอีก จนสุดท้ายครูที่ตีเรามากระซิบขออภัย เราก็เขินมาก (ที่จริงลืมไปหมดแล้วว่าวันก่อนดรามาแค่ไหน)

๑๔) ชั่วโมงดนตรีไทยเค้าจะให้เรียนเป่าขลุ่ย เพราะสอนได้ทุกคน อุปกรณ์ไม่ยาก ปรากฏว่านิ้วก้อยเราไม่ได้ proportion กับขลุ่ย (ขลุ่ยไทย รูนิ้วก้อยจะไม่เบี่ยงแบบขลุ่ย recorder) นิ้วเอื้อมไม่ถึง ครูเลยจับไปนั่งหน้าระนาดเอก เคาะไปเคาะมา เลยได้เรียนระนาดเอกมาตั้งแต่นั้น ครูสอนชื่อครูประยูร ฟักภู่ ภายหลังพึ่งทราบว่าวงทวีธาภิเศกนี่ชื่อเสียงไม่เบา ได้ไปออกทีวีบ่อยๆ

๑๔) พอจะขึ้น ม.ศ.๔ ก็จะย้ายไปเตรียมอุดม ไปสอบก็ติด ได้อยู่ห้องตึกคุณหญิงหรั่ง เป็นรุ่นที่ ๘ ๑/๒ (แปดครึ่ง) มีคนนินทาว่าเป็นห้องแจ็ค (เตรียมอุดมมีห้องแจ็ค แหม่ม คิง ห้องคิงนั่นจะเป็นพวกสอบเข้าที่หนึ่งคณะต่างๆ ห้องแหม่มจะกวาดหมอ/วิศวะ ห้องแจ็คจะเป็นพวกเพี้ยนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ พวกฉลาดมักจะขี้เกียจ พวกขยันมักจะ nerd พวกเก่งมักจะ geek)

๑๕) พอมาเตรียมอุดมก็ไปเข้าชมรมดนตรีไทย ได้เป็นคนระนาดเอกอีก (นานๆมันจะมีสักคนนึง) มีครั้งหนึ่งที่วงมโหรีเตรียมอุดมได้ไปออกทีวีช่องเจ็ดสี เราเป็นประธานชมรมก็คอยเฝ้าปิดประตู เก็บของ ล็อกกุญแจ ทำเสร็จปรากฏว่ารถขนนักดนตรีออกไปแล้ว ทิ้งเราไว้คนเดียวที่โรงเรียน เอาล่ะหว่า!! ทำไงดี โต๋เต๋ไปหาคุณอาที่เป็นครูอยู่ที่โรงเรียน เล่าเรื่องให้ฟัง คุณอาเลยออกตั๋วฟรี เอ๊ย ตั๋วออกนอกบริเวณโรงเรียนมาให้ นั่ง taxi ตามไป สมัยนั้นยังไม่มีมือถือ ได้ไปร่วมงานในที่สุด

๑๖) ม.ศ.๕ เตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ เราเข้านอนสองทุ่ม ตื่นตีสามมาอ่านหนังสือทุกวัน ออกจากบ้านตีห้าครึ่ง เดินไปข้ามเรือไปท่าวาสุกรี นั่งรถเมล์สาย ๔๗ ไปลงหน้าเตรียมอุดม จะถึงโรงเรียนประมาณหกโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ภารโรงมาเปิดตึกพอดีเหมือนกัน ครูประจำชั้นมาถึงห้องเวลา ๗ โมงเช้า จะเจอเราทุกวัน นั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว เราเตรียมตัวสอบเสร็จก่อนวันสอบประมาณสามเดือน อ่านทุกอย่างที่ต้องอ่านจบไปหมดแล้ว

๑๗) ชีวิตวัยเรียนที่เตรียมอุดมเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก เพื่อนๆสุดยอดกันหมดทุกคน จนบัดนี้ก็ยังติดต่อไลน์กันทุกวัน แม้ว่าจะอยู่กันต่างคณะ มีทั้งหมอศิริราช รามา จุฬา ขอนแก่น สงขลา ทันตะ บัญชี เภสัช วิศวะ วิทยาศาสตร์ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว เรายังหาเรื่องมาเจอกันทุกเดือน พบว่าทุกเดือนจะมีวันเกิดเพื่อนๆ ก็จะถือเป็นโอกาสนัดเจอกันเดือนละครั้ง สถานที่นัดคือสระน้ำจุฬา พวกมหิดลจะนั่งรถไฟมาจากศาลายา (เราเป็นนักศึกษาศาลายารุ่น ๑) ทุกบ่ายวันศุกร์ คือจะโดด lap physics หรือ lap chemistry มาเจอเพื่อนๆ บรรยากาศในการเรียนที่เตรียมอุดมบ่มเพาะมิตรภาพอย่างที่ที่อื่นๆไม่สามารถจะเลียนแบบได้อีกแล้ว

๑๘) วันประกาศผลสอบเอนทรานซ์ไม่ตื่นเต้นเลย เพราะคุณน้าไปแอบถามภายในมาให้ล่วงหน้าประมาณอาทิตย์นึงก่อนประกาศจริง เราเลยเป็นคนแรกของห้องที่ทราบผลว่าสอบติดศิริราช อดไปจุดเทียนส่องบอร์ดกับเพื่อนๆ (ประสบการณ์ที่เด็กรุ่นใหม่หาไม่ได้อีกแล้ว)

๑๙) ได้ไปเรียนมหิดลที่ศาลายาเป็นรุ่นแรก สามารถไปได้หลายวิธี ตอนแรกๆไปรถไฟ ขึ้นที่สถานีรถไฟหลังศิริราช เป็นรถหวานเย็น นานมาก แถมยังมีชักเข้าชักออก วิ่งไปข้างหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง เราไปครั้งแรกก็อ้วกแตกอ้วกแตน ได้อยู่หอเป็นส่วนใหญ่ ทางเดินไปอาคารเรียนยังทำไม่เสร็จเลย เป็นโคลน ทางเท้าจะค่อยๆงอกวันละเมตรสองเมตร ที่เหลือเป็นไม้กระดานต่อๆกันบนทะเลโคลนให้นักศึกษาเดินเลี้ยงตัวไปเรียน

๒๐) เฮ้อ... ข้อสุดท้ายเสียที มีเพื่อนใหม่ ๑๘๐+ คน หนึ่งในนั้นเราไม่ทราบเลยว่าในเวลาต่อมาจะได้เป็นคู่ชีวิต เป็นแม่ของลูกเรา

ขอไม่ tag ใคร เพราะไม่ชอบ tag

สกล สิงหะ
เขียนที่หน่วยชีวันตาภิบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
วันพุธที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๗ (วันมหิดล) วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย
เวลา ๑๒ นาฬิกา ๑๑ นาที

คำสำคัญ (Tags): #Facts about me
หมายเลขบันทึก: 576876เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2014 09:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กันยายน 2014 09:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อ่านสนุก..เพิ่งจะรู้..ว่า..เป็น..วิดเดอร์..(ตีสนิท..อิอิ)...

มีใบไม้..ก่อนร่วงโรยรามาฝาก..อ้ะะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท