ออกจากขอนแก่นมาถึงท่าพระ ถิ่นเก่าผม ทำงานที่นี่ พักที่นี่ 5 ปีเต็มๆ ผมแวะเข้าไปดูสถานีรถไฟท่าพระ ซึ่งเป็นสถานที่ผมเห็นนายฮ้อยเอาควายขึ้นรถไฟที่นี่ มีลายคอนกรีตขนาด 6 สนามบาสเก็ตบอล นอกนั้นหญ้าขึ้นรกแห้ง ถัดออกไปเป็นกองไม้หมอนเก่า ที่การรถไฟสั่งเปลี่ยนไม้หมอนเป็นแท่งคอนกรีตทั่วประเทศ ทยอยเปลี่ยนกันมาหลายปีแล้ว ที่ขอนแก่น เปลี่ยนหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ว่างั้น
สมัยที่ผมมาทำงานที่ท่าพระและพักที่ท่าพระนี้ ก็เป็นบ้านญาติ ที่ท่านเป็นอดีตนายสถานีรถไฟที่ท่าพระนี่ แต่ผมไม่เคยเข้ามาใกล้ชิดเลย วันนี้เลยขอแวะหาข้อมูลเบื้องต้นนิดหน่อยก่อน พบผู้ช่วยนายสถานีวัยกลางคน เขาเป็นลูกหม้อการรถไฟ เขารู้จักญาติผมที่เป็นนายสถานีที่นี่เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว สมัยนั้นเขายังเด็กๆ
เขาบอกว่าจำได้ว่ามีการเอาควายขึ้นโบกี้รถไฟที่นี่ ซึ่งเป็นโบกี้พิเศษสำหรับลำเลียงสัตว์ โดยเฉพาะ เพราะสภาพโบกี้ด้านข้างจะโปร่งเป็นซี่ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเทดี เพื่อให้สัตว์หายใจได้ดี ท่านผู้ช่วยกล่าวว่าโบกี้แบบนั้นหมดยุคไปหลายสิบปีแล้วเพราะการขนส่งทางรถยนต์เจริญมากขึ้น การรถไฟจึงเอาโบกี้ประเภทนั้นไปทิ้งทะเล ทำปะการังเทียม
และการเอาควายขึ้นรถไฟไปขายนั้นทำได้ไม่กี่ปีก็หมดยุคดังกล่าว เพราะนิยมเอาใส่รถสิบล้อไปมากกว่า ผมจำได้ว่า เคยสัมภาษณ์นายฮ้อยว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างในการเอาควายขึ้นสิบล้อไปขาย ท่านก็เล่ามากมายแต่มีช่วงหนึ่งบอกว่า ....ก่อนไปต้องไปธนาคารเตรียมแลกแบ้งค์ย่อยก่อนจำนวน สามถึงห้าพัน ผมถามว่าทำไมล่ะครับ กลัวว่าจะไปใช้จ่ายยากลำบากหรือครับหากมีแบ้งค์พันบาท นายฮ้อยท่านนั้นบอกว่า ...เปล่าหรอก ที่แลกแบ้งค์ย่อยเพราะเตรียมจ่ายที่ด่านต่างหาก ..???!!!
ผมขับรถไปถึงบ้านดอนกลอยไม่ยากนัก ปัจจุบันเจริญมากแล้วเพราะมีถนนคอนกรีตผ่านหมู่บ้าน ผมจอดรถที่ร้านหมู่บ้านมีสตรีนั่งคุยกันสี่ห้าคน ผมตรงเข้าไปถามว่า บ้านนายฮ้อยมานิตย์ ปัดทุม อยู่ตรงไหน ท่านนายฮ้อยเสียชีวิตไปหลายปีแล้วนั่นแหละครับ...ไม่ยากเลยสตรีเหล่านั้นบอกทันทีว่า โน้นไปตามถนนนี่เลย ตรงสามแยกก็ถามหาอีกทีก็แล้วกัน...
ที่บ้านนายฮ้อยก็เปลี่ยนไปหมดสภาพบ้านเป็นแบบสมัยใหม่ แต่หลังบ้านยังมียุ้งข้าวสองยุ้งติดกัน สภาพแบบเดิมๆอยู่ มีลานกว้างบ่งบอกถึงการใช้งานมาหนักแล้วในอดีต คุณยายที่นั่งบ้านตรงข้ามนายฮ้อยบอกว่า หลังนี้แหละของพ่อมานิตย์...ลูกสาวเขาอยู่ นั่นไง โผล่หน้ามานั่นไง..
ผมเดินตรงไปประตูบ้านนายฮ้อยมานิตย์ ประตูเปิดออกมา ผมยกมือไหว้แล้วแนะนำตัวว่าผมเคยมาสัมภาษณ์ พ่อมานิตย์ เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ผมอยากย้อนมาสัมภาษณ์ใหม่ครับ ช่วยแนะนำให้ผมได้ไหมว่าควรจะคุยกับท่านใดที่เคยเดินทางไปด้วยกับพ่อมานิตย์เพื่อค้าควาย..
สตรีท่านนี้ยิ้มรับผมและเชิญนั่ง แล้วผมก็ซักถามเพื่อนำเข้าสู่ประเด็นสำคัญต่างๆของวัตถุประสงค์ที่มาครั้งนี้ ท่านเป็นบุตรสาวสุดท้องของนายฮ้อยมานิตย์ ปัดทุม แต่งงานแล้ว ทำมาค้าขายอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ มีลูกสามคน ทั้งสามคนไปขายอาหารในกรุเทพฯ....
พ่อมานิตย์มีลูก 6 คน เป็นชายสามคนหญิงสามคน เสียชีวิตเหลือสองคน พี่ชายกับตัวของเธอ พี่ชายคนนี้เคยเดินทางไปค้าควายกับพ่อ เป็นครู เกษียณแล้ว บ้านอยู่บ้านชุมชนนี้ อยากให้ไปคุยกับพี่ดีกว่า ความจริงท่านผู้นี้กล่าวต่อว่า บ้ายที่ติดกันนี่คือลูกเขยพ่อมานิตย์ หรือพี่เขยฉันนี่แหละ ไปค้าควายกับพ่อมาตลอด แต่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้เอง
ผมถามลูกสาวสุดท้องนายฮ้อยมานิตย์ว่ามีรูปท่านไหม ผมขอถ่ายรูปท่านได้ไหมครับ เธอยิ้มแล้วตอบว่า ได้ เดี๋ยวจะเอามาให้...
ในที่สุดผมก็ได้ภาพนายฮ้อยมานิตย์ ปัดทุม ที่ผมตามหา
จากรูปของท่าน จะพาเราไปสู่วิถีนายฮ้อยต่อไปครับ
อ่านแล้วต้องบอกว่า ลุ้นระทึกไปด้วยค่ะ ขอบคุณมากๆ
การเขียนอาจจะไม่ต่อเนื่องนะครับ เพราะ ขึ้นกับเงื่อนไขทั้งผู้เขียนและนายฮ้อย เครือญาติของนายฮ้อยมานิตย์ ปัดทุมครับ
ความจริงผมมีความคิดใหญ่ คือ
อยากรวบรวมเพื่อนสักจำนวนหนึ่ง และนายฮ้อยที่มงานของพ่อมานิตย์ ปัดทุม ร่วมกันเดินไปตามหมู่บ้าน เส้นทางที่นายฮ้อยมานิตย์ได้เดินทางมาแล้ว ซึ่งผมมีรายชื่อหมู่บ้านทั้งหมด แล้วคุยกันไป ย้อนรอยเรื่องราวต่างๆที่เขาเผชิญมาในอดีต เท่าที่ผมทราบมาเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆว่าควายเป็นร้อยเป็นพันตัว พ่อมานิตย์คุมได้อย่างไรให้ปลอดภัย และสามารถเดินทางไปค้าขายอย่างราบรื่น
ซึ่งไม่ใช่เลย มีปัญหาตลอดเวลา เขาแก้ปัญหาอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้าง เหตุผลคืออะไร ความคิดช่วงนั้้นเป็นเช่นไร การเผชิญโจร ขโมย โรคภัยไข้เจ็บ เจ้าถิ่นแต่ละถิ่นที่ผ่านไป ...ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่นายฮ้อยใหญ่ พ่อมานิตย์ ปัดทุมบริหารมาแล้ว ทำได้อย่างไร.....
อยากบันทึกจริงๆครับ
ยังคิดว่า หากมีหน่วยงานไหนสนับสนุนค่าใช้จ่ายบ้าง ผมจะเทเวลาให้เลย จะรวบรวมนายฮ้อย เดินไปตามเส้นทางนั้น อาจจะไปเฉพาะจุดสำคัญๆที่พอมีข้อมูลอยู่บ้าง ครับ