น่าสนใจนะครับ ความรู้ของเราในเรื่องปฏิทินทางจันทรคตินั้นหายไปแล้ว...ในโรงเรียนไม่มีสอน แต่ใครอยากไปเรียนหมอดู ก็ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ แต่หากไปถามคนอีสานโบราณที่อายุ 50 ปีขึ้นไปนั้นท่านเหล่านั้นจะตอบได้ครับว่า วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคมนี้เป็นวันขึ้น 3 ค่ำเดือน 3…..
พิธีกรรม: พิธีกรรมในวันนี้ปฏิบัติเป็นรายครอบครัว เริ่มในตอนเช้าโดยประกอบพิธีทำขวัญข้าวและยุ้งฉางเป็นอันดับแรก "พาขวัญ" หรือ ภาชนะที่ใช้ประกอบพิธีมี ดอกไม้ ธูปเทียน 5 ชุด (ขันธ์ 5) ผ้าผืน แพรวา ข้าวเหนียวนึ่ง ไข่ต้ม ขนม น้ำ น้ำหอม ใบยอ ใบคูณ และด้ายผูกขวัญ เจ้าของเรือนเปิดประตูยุ้งฉางนำเครื่องประกอบพิธีไปวางไว้บริเวณหน้าประตู แล้วกล่าวคำทำขวัญข้าว คำกล่าวเริ่มด้วยการเชิญขวัญข้าวมาสถิตอยู่ในยุ้งฉาง ตามด้วยคำขอบคุณหรือการสำนึกในบุญคุณของข้าว และการร้องขอให้ผลผลิตข้าวในปีต่อไปเพิ่มพูนขึ้น
จากนั้นจะนำน้ำหอมที่อยู่ใน "พาขวัญ" ไปประพรมทั่วบริเวณยุ้งฉางรวมถึง คราด ไถ และอุปกรณ์ที่ใช้ทำนาอื่น ๆ ที่มักเก็บรักษาไว้ในบริเวณยุ้งฉาง ต่อจากนั้น เป็นพิธีผูกขวัญวัวควายโดยนำด้ายมาผูกที่ "เขา" วัวควายที่อยู่ในคอกพร้อมกล่าวคำทำขวัญวัว – ควาย คำกล่าวเริ่มด้วยการเชิญขวัญมาอยู่กับตัวของวัว – ควาย การขออโหสิกรรมที่ดุด่าทุบตี คำขอบคุณหรือสำนึกในบุญคุณที่ช่วยเหลือในการไถนา และตามด้วยการร้องขอให้วัว – ควาย ออกลูกเพิ่มเติมให้แพร่หลายยิ่งขึ้น เพื่อเอาไว้ใช้งานต่อไป
พิธีกรรมสุดท้ายเป็นการเตรียมพื้นที่สำหรับหว่านกล้าและดำนา โดยเกษตรกรจะนำปุ๋ยคอกไปหว่านยังแปลงนา พร้อมทั้งปรับแต่งคันนาที่ถูกปูนาเจาะและการปิดทางระบายน้ำออกจากแปลงนา เพื่อเตรียมเก็บกักนั้นในฤดูฝนที่จะมาถึง
ปัจจุบันนี้ กิจกรรมเตรียมแปลงนาในบางพื้นที่ ได้ถูกจำกัดให้เหลือเพียงนามธรรม หรือปฏิบัติเฉพาะในแปลงนาที่จะหว่านกล้าเพียงกระทงนาเล็ก ๆ เท่านั้น การหว่านปุ๋ยคอกก็เช่นกัน ในหลายพื้นที่หว่านเพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธี นอกเหนือจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับข้าวแล้ว ยังมี "พิธีการผูกแขนผู้เฒ่า" หรือผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัว โดยลูกหลานหรือแม้แต่ผู้น้อยที่เคารพนับถือผู้ใหญ่ท่านนั้นๆก็จะมาร่วมพิธีโดยจะนำด้ายไปผูกที่แขนของผู้อาวุโสรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย พร้อมทั้งกล่าวอวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว และมอบเงินหรือสิ่งของเสื้อผ้าไว้ให้สำหรับใช้สอย แล้วก็จะกินข้าวพร้อมหน้ากัน พูดคุยกัน
สรุป: สิ่งที่สะท้อนจากประเพณีการเปิดประตูเล้าข้าวที่ยังเหนียวแน่นอยู่ในกลุ่มราษฎรไทยเชื้อสายกะโซ่ แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชนเผ่าที่นอกเหนือจากความเชื่อในจิตวิญญาณของธรรมชาติแล้ว ชาวกะโซ่ยังให้ความสำคัญต่อข้าวเป็นอย่างสูง และให้ความสำคัญต่อทุกขั้นตอนการผลิตข้าว ตั้งแต่แรงงานสัตว์ เครื่องมือคราดไถ จนถึงการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ ประเพณีดังกล่าว ยังแสดงถึงภูมิปัญญาโบราณของท้องถิ่นที่รู้จักการปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยคอกอีกด้วย การเปิดประตูเล้าข้าวในเดือน 3 ยังเป็นการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะตรวจสอบคุณภาพ และปริมาณของข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ซึ่งอาจถูกทำลายโดยนก หนู หรือแมลงมอดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังถือโอกาสซ่อมแซมยุ้งฉางในคราวเดียวกัน
นอกจากนี้พิธีกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างคุณค่าด้านจิตใจอันดีงามยิ่งที่แสดงสำนึกต่อสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่ได้พึ่งพาอาศัยกันต่อสิ่งที่มีชีวิตคือ การแสดงคารวะต่อปู่ ย่า ตา ยาย ผู้อาวุโสในครัวเรือน ต่อสัตว์คือการแสดงการขออโหสิต่อ สัตว์เลี้ยงที่ใช้แรงงาน
เช่น วัว ควาย การเข้าไปแสดงไมตรีและเอามือลูบไล้สัตว์อย่างเมตตานั้น เป็นเจตนาที่แสดงถึงด้านลึกแห่งสำนึกของจิตใจสูงส่งที่ประเพณีโบราณได้สร้างขึ้นและมีวาระที่ต้องแสดงออก ต่อเครือญาติและสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเพื่อยังชีพเพื่ออยู่เพื่อกิน พิธีกรรมนี้เป็นการสะสมทุนทางสังคมประการหนึ่งด้วย
ซึ่งการแสดงออกด้านลึกนี้หาไม่ได้กับการผลิตแบบการค้า ของสังคมสมัยใหม่ แต่ปัจจุบันนี้ประเพณีดังกล่าวได้ถูกละเลยงดเว้นหรือยกเลิกไปในแทบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในแถบที่วิถีชีวิตชาวชนบทได้ถูกรบกวนโดยกระแสความเจริญทางด้านวัตถุ และวิถีแห่งเศรษฐกิจชาวเมือง พี่น้องคนอีสานไม่สืบสานพิธีกรรมความเชื่อที่สวยงาม และสูงส่งด้วยคุณค่า ความหมาย เช่น พิธี 3 ค่ำเดือน 3 ต่อไปหรือ...
ครับ ผู้นำไทบรู อ.ดงหลวง เชิญผมให้ไปร่วมงานสำคัญนี้ครับ...
(ผมเลยขออนุญาตนำบทความนี้ที่คุณเปลี่ยน มณียะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของโครงการฯ เขียนไว้ในรายงานไตรมาสที่ 1/2546 ผู้เขียนขอนำมาเผยแพร่อีกครั้ง)
หวังว่าลูกหลานของคนในท้องถิ่นจะยังคงรักษาประเพณีดีๆแบบนี้ไว้สืบทอดต่อไปนะคะ
ปกติชาวบ้านที่ดงหลวงจะปฏิบัติประเพณีนี้กันตามครอบครัวใครครอบครัวมัน แต่เมื่อมีการสนับสนุนให้รวมกลุ่มเครือข่ายไทบรูขึ้นมาโดย NGO และโครงการที่พี่ไปทำก็ก้าวเข้ามาสนับสนุน จึงเอาประเพณีนี้มาจัดให้เป็นกึ่งทางการขึ้นมา กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม เข้าใจสาระ และสร้างสำนึกวิถีการผลิตที่ต้องอิงอาศัยสิ่งรอบตัว รู้จักสำนึกแห่งสัตว์แรงงาน การบำรุงพระแม่ธรณี และผู้น้อยเคารพและเอื้อเฝื้อผู้เฒ่าผู้แก่..... มันเป็นคุณค่าทางสังคม ทางจิตใจ และทุนทางสังคมที่สำคัญบนรากเหง้าของสังคมไทยแบบเดิมๆ ครับ