คุณสินีจาก RDI หรือสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่นเล่าให้ฟังว่า วันนี้มีฝรั่งมาหาคนหนึ่ง ซึ่งมาพบทุกปี เป็นเจ้าหน้าที่จากหอสมุดรัฐสภาแห่งอเมริกา (Library of Congress : LC)
มาทำไม: เขามา Shopping เอกสารที่สถาบันแห่งนี้ผลิตขึ้นและบรรจุไว้ในห้องสมุดของสถาบันและประกาศไว้ใน Website ของสถาบัน LC เขามีนโยบายรวบรวมเอกสารต่างๆทั่วโลกที่มีคุณค่า ที่เขาคัดสรรแล้วเอาไปใส่ไว้ในห้องสมุดรัฐสภา คุณคนนี้ที่มาหาคุณสินี มีหน้าที่รับผิดชอบคัดสรรเอกสารทุกชนิดในประเทศไทย ลาว พม่า เวียตนาม เขมร เพื่อส่งไปเข้าระบบที่ LC แน่นอนเขามีกรอบความคิด มีหมวดสาระ และหลักการที่คัดสรรเอกสารต่างๆ มิใช่กวาดเอาไปหมด ไม่ใช่
เอกสารที่ฝรั่งท่านนี้คัดสรรคงมีความหมายมากสำหรับเขา เพราะแต่ละปี สถาบันมีเอกสารออกมามากมาย เขาใช้เวลามหาศาลที่นั่งดูรายการเอกสาร และเปิดดูสาระ แล้วตัดสินใจเอา หรือไม่เอาเอกสารชิ้นนั้นๆ เขาทำงานมหาศาลจริงๆ
หากมีต้นฉบับมากกว่า 1 เล่มก็ขอไป หากมีเพียงเล่มเดียวก็จะหอบเอาไปทำสำเนา แล้วทยอยส่งไป LC
วิเคราะห์: คุณสินียกตัวอย่างเอกสารที่เขาคัดสรรแล้วให้ผมฟัง ผมก็ทึ่งในวิสัยทัศน์ของเขาว่าทำไมเขาถึงเลือกชิ้นนั้น ที่เป็นเอกสารเรื่อง "กรณีตัวอย่างความสำเร็จในการทำกิจกรรมเพื่อการพึ่งตนเอง"เขาเอาเอกสารนี้เอาไปใส่ใน LC เลยหรือนี่ มีความหมายมากจริงๆ
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องสงครามเวียตนามที่อมเริกันแพ้สงครามทั้งที่มียุทโธปกรณ์ทางทหารที่ดีที่สุดในโลก และเวียตนามไม่มีอาวุธที่จะไปสู้ได้เลย แต่เวียตนามชนะสงคราม ผมรู้จักกับทหารอเมริกันที่ผ่านสงครามนั้นมาเล่าให้ฟังว่า อเมริกันตั้งคำถามนี้แล้วส่งนักสังคมวิทยา-มานุษยวิทยามาเวียตนามมาศึกษา และก็พบข้อมูลมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อกองทัพ และวงการวิชาการของเขา.....
เรื่องกรณีตัวอย่างความสำเร็จในการทำกิจกรรมเพื่อการพึ่งตนเอง นั้นเป็นเรื่องหลักคิดการหาทางออกของงานพัฒนาท่ามกลางกระแสทุนนิยม เรื่องการพัฒนาสังคมตามกระแสทุนนั้น มีการวิภาควิจารณ์มานานแล้วว่า ส่งผลกระทบต่อระบบสังคมมากมายในหลายด้าน จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงพระราชทานแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงลงมาให้ประชาชนนำไปปรับใช้ เพื่อให้อยู่ได้ท่ามกลาวกระแสทุน
เรามีกรณีตัวอย่างมากมายที่นำแนวคิดของในหลวงไปปฏิบัติแล้วประสบผลสบผลสำเร็จ สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่นมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาหลายโครงการ เห็นความสำเร็จของชาวบ้านที่โครงการพัฒนาต่างๆนั้นไปสนับสนุนให้ชาวบ้านได้ดำเนินการ และสำเร็จจึงสรุปบทเรียนและทำเป็นเอกสารขึ้นมาในหลายรูปแบบทั้งหนังสือ วารสาร งานวิจัย และ VDO และอื่นๆ เพื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ
และแล้วฝรั่งท่านนี้ก็ตัดสินใจเลือกกรณีตัวอย่างหนึ่งเอาไปใส่ไว้ใน LC จริงๆมีหลายกรณีที่ RDI ได้จัดทำขึ้น แต่กรณีที่เขาเลือกนั้นคือ กรณีของพ่อแสน วงษ์กะโซ่ แห่งบ้านเลื่อนเจริญ ต.ดงหลวง อ.หลวง จ.มุกดาหาร
บัดนี้ผลงานพ่อแสนสามารถไปศึกษาได้ที่ หอสมุดรัฐสภาอเมริกา หรือLibrary of Congress แล้ว สำหรับท่านที่สนใจว่าพ่อแสนคือใคร มีผลงานอะไรบ้าง สามารถเข้าไปดูส่วนหนึ่งได้ที่
สำหรับท่านที่อยากรู้จัก หอสมุดรัฐสภาอเมริกา สามารถเข้าไปดูความยิ่งใหญ่ได้ที่นี่
ผมว่า คนไทยเองก็ถือเอาฝรั่งเป็นมาตรฐานสากลเอามากๆนะ โดยเฉพาะพวกป.โท เอก ที่ต้องเขียนงานวิจัยที่อาศัยตำราฝรั่ง ยัดเยียดให้คนอ่าน นัยว่า แน่น น่าเชื่อถือ พออ้างชื่อฝรั่งๆ ดูแล้วมันเป็นกลิ่นไอวิชาการ
พวกที่ไปเรียน ไปจบที่ตะวันตก สุดท้ายก็ต้องเขียนตะวันออกให้ฝรั่งเป็นข้อมูลอย่างง่ายๆ เหล่านั้นคือ มหาเอกสาร ที่ฝรั่งได้จากนักเรียนไทย ที่ส่งรายงานเขา ส่วนผู้จบออกมาก็ก๊อบปี้ขี้ฝรั่งมาทั้งนั้น คิดว่าเท่ เก๋โก้ โดยไม่สนใจตะวันออกว่า เราเองก็มีสไตล์ มีแบบแผนที่เป็นเอกลักษณ์อยู่
ดูแล้วที่อ.บางทรายนำเสนอนี้ มันสะท้อนให้เห็นว่า ฝรั่งมีนัยแอบแฝงภูมิปัญญาเราหรือไม่ เขาฉลาดหรือละเมิดภูมิทรัพย์สินทางปัญญาหรือไม่ หรือเราภูมิใจมีฝรั่งสนใจตนเอง อีกอย่างดูแล้วแนวโน้มคนเอเชียกำลังตกอยู่ใต้คติที่ว่า "ฝรั่งคือนาย" (เจ้าเล่ห์) ทำไมไม่เชื่อในหลวงหรือคนในครอบครัวตัวเอง ที่รู้ ที่เห็นมาตั้งแต่แบเบาะละ
มองได้หลายมุมครับท่าน ส.รตนภักดิ์
มองในเชิงวิชาการแท้ๆ ก็เป็นการลงทุนของเขาที่มาเด็ดยอดของเราไป เขาไม่จำเป็นต้องมาทำวิจัย มาลงทุนสนับสนุนงานวิจัย แต่ตระเวนมา shopping ความรู้ที่มีนักวิชาการของสถาบันการศึกษาต่างๆจัดทำไว้แล้ว อันไหนที่เขาพึงพอใจ เข้ากรอบเข้าประเด็นเข้าสาระที่เขามีอยู่ก็คว้าเอาไป แน่นอนเขามีหนังสือมาตามระบบราชการถูกต้อง มองมุมนี้ก็เป็นประโยชน์สำหรับเขา ลงทุนให้บุคลากรผู้ชำนาญการของเขามาค้นหาแล้วส่งกลับไป เขาระบบห้องสมุดเขา แค่นี้เขาก็ได้ความรู้มหาศาลแล้วจากส่วนหนึ่งของกลุ่มอาเซียน
มองในแง่การเอาไปใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวงานพัฒนาสังคมในบ้านเรา ว่าก้าวหน้าไปทางไหน ด้วยแนวคิดอะไร ผลเป็นอย่างไร ซึ่งแนวคิดเหล่านี้สามารถวิเคราะห์ต่อไปว่า หากการพัฒนาแนวทางนี้เป็นกระแสหลักขึ้นในประเทศไทย ในอาเซียน จะกระทบต่อเขาอย่างไรบ้าง และในอนาคตเขาควรมีท่าทีอย่างไรต่อกระแสงานพัฒนาแบบนี้ ก็เข้าหลัก "รู้เขารู้เรา...." เขาก็สามารถกำหนดนโยบายอะไรใหม่ๆออกมาระหว่างอเมริกากับประเทศไทยหรือกลุ่ม อาเซียน
หากมองเจาะไปถึงระบบธุรกิจข้ามชาติ ที่เขามาครอบเรามานานนั้น แนวงานพัฒนาแบบพึ่งตนเองนั้น ลด ละ เลิกการใช้สารเคมี นี่คือธุรกิจการเกษตร แนวคิดงานพัฒนาแบบพึ่งตนเองบ้านเราหันหน้ากลับไปสนับสนุนพืชพันธุ์พื้นบ้าน ดั้งเดิม งั้นก็กระทบระบบธุรกิจเมล็ดพันธุ์พืชของเขา รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์พืชที่เป็น GMO อีกมากมาย...
แนว คิดการพัฒนาแบบใช้ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ ดัดแปลงธรรมชาติ ที่พ่อแสนกระทำอยู่นั้น ก็ไม่ตอบสนองระบบธุรกิจที่เป็นวัฒนธรรมบริโภคของเขาที่แพร่เข้ามาครอบหัวใจ คนหนุ่มสาวในปัจจุบัน และคนเมืองทั้งหมดที่ระบบต้องอิงธุรกิจแบบทุน ....
เหล่านี้ก็คิดอ่านกันได้อีกหลายมุมมองครับ
ผม เห็นด้วยกับท่าน ที่นักวิชาการของบ้านเราจำนวนมาก ไปรับกรอบและสาระวิชาการที่มีพื้นฐานไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข สภาพต่างๆของสังคมบ้านเรา เราไปเอาปรัชญาการศึกษาเขามาใช้กับสังคมตะวันออกแบบของเรา มันเลยหลุดจากฐานเดิมของเขาแม้ว่าความรู้หลายอย่างก็เป็นประโยชน์
วัฒนธรรม เรากินข้าว แต่เด็กบ้านเราไม่รู้จักเรื่องราวของข้าวบ้านเราแล้ว ไม่รู้จักพันธุ์ข้าวดั้งเดิมของเราแล้ว หรือแม้แต่ข้าวขาวดอกมะลิ หรือที่เราเรียกข้าวหอมมะลิ 105 นั้นเป็นข้าวของเราที่เป็นชั้นหนึ่งของโลก (อาจจะตกไปแล้ว) ทำไมเอามะลิ 105 ไปปลูกที่ภาคเหนือ ถึงไม่หอมเท่ากับปลูกที่อีสาน..... เด็กไม่รู้
เรากินข้าวไรซ์เบอรรี่ที่กำลังมาแรง ทำไมไรซ์เบอรรี่ที่สุพรรณถึงสู้ข้าวไรซ์เบอรรี่ที่ปลูกที่ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ ไม่ได้ ข้าวที่ปลูกที่อีสานถึงอร่อยกว่า เพราะอะไร
ส่วนตัวผมไม่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่อย่าลืมราก จะเชื่อมต่อกับรากเหง้าได้อย่างไร มิใช่ทิ้งรากเหง้า แล้วรับของใหม่มาหมด ผมไม่เห็นด้วยครับ
แต่น่าคิดว่า ฝรั่งมังค่าลงมาล้วงลูกถึงแก่นความรู้ระดับรากหญ้าเช่นนี้ ขณะที่สถาบันการศึกษาไทย คิดอย่างไรบ้าง เห็นอะไรบ้างกับกรณีเช่นนี้.....และจะทำอไรบ้างกับกรณีเช่นนี้...
น่าคิดนะครับ...
I clicked on < http://lanpanya.com/bangsai/archives/tag/พ่อแสน-วงศ์กะโซ่ > and read and followed two 'great examples of land carers' in the true spirit of "sufficiency" that we often talked about but failed to practice.
I salute แสน-วงศ์กะโซ่. He is a real leader in landcare.
ขอบคุณ SR ครับ
ขอบคุณ ยายธี ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้ดอกไม้ครับ