กรณีศึกษานายบุญสวาท : การกำหนดหน้าที่ของสถานกงสุลไทยประจำกัมพูชาในการจดทะเบียนคนเกิดในสถานะคนสัญชาติไทยให้แก่บุตรที่เกิดในประเทศกัมพูชาจากบิดาตามกฎหมายสัญชาติลาวและมารดาสัญชาติไทย
โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๙
https://www.facebook.com/note.php?saved&¬e_id=10154184409363834
------------
ข้อเท็จจริง
------------
นายบุญสวาทเกิดในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ จากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติลาวซึ่งมีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐลาว และถือเอกสารรับรองตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐลาว
เขาจบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตในประเทศลาวใน พ.ศ.๒๕๕๔ และมาจบนิติศาสตร์มหาบัณฑิตในประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ นายบุญสวาทได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยกับนางสาวพิมพ์ผกาซึ่งมีสถานะคนสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย ณ เขตบางรัก กทม. ประเทศไทย
ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า นางสาวพิมพ์ผกาเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ จากบิดาและมารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยซึ่งมีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย และถือเอกสารรับรองตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐไทย
หลังจากการสมรส นายบุญสวาทและนางสาวพิมพ์ผกาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพราะนายบุญสวาทได้เข้าทำงานเป็นนักกฎหมายประจำสาขาสำนักงานกฎหมาย H&L ประจำประเทศกัมพูชา ส่วนนางสาวพิมพ์ผกาชอบทำงานอิสระ จึงคิดจะผลิตขนมไทยขายในเมืองพนมเปญ
สำนักงานกฎหมาย H&L มีสถานะบุคคลตามกฎหมายเป็นบริษัทตามกฎหมายไทย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะผู้ถือหุ้นข้างมากเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ในขณะที่ผู้ถือหุ้นข้างน้อยเป็นคนสัญชาติไทย
ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ นางสาวพิมพ์ผกาตั้งเริ่มตั้งท้องบุตรกับนายบุญสวาท ซึ่งมีกำหนดจะคลอดบุตรในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๙ แต่บุคคลทั้งสองไม่แน่ใจว่า จะคลอดบุตรในประเทศใด แต่บุคคลทั้งสองได้ตกลงตั้งชื่อเล่นของบุตรว่า “น้องกอไก่”
อนึ่ง นายบุญสวาทมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกและมีสิทธิอาศัยชั่วคราวเพื่อทำงานในประเทศกัมพูชา ในขณะที่นางสาวพิมพ์ผกามีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกและมีสิทธิอาศัยชั่วคราวเพื่อติดตามครอบครัว เอกสารแสดงตัวในประเทศกัมพูชาของนายบุญสวาท ก็คือ หนังสือเดินทางที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เอกสารนี้ระบุว่า นายบุญสวาทมีสถานะเป็นคนสัญชาติลาว ในขณะที่นางสาวพิมพ์ผกาถือหนังสือเดินทางที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศไทย เอกสารนี้ระบุว่า นางสาวพิมพ์ผกามีสถานะเป็นคนสัญชาติไทย
นายบุญสวาทยังถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และนางสาวพิมพ์ผกายังถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
---------
คำถาม
---------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล หากน้องกอไก่ ซึ่งเป็นบุตรของนายบุญสวาทและนางสาวพิมพ์ผกา เกิดในประเทศกัมพูชาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๙ และบุพการีตัดสินใจแจ้งการเกิดของน้องกอไก่ต่อสถานกงสุลไทยประจำประเทศกัมพูชาอีกด้วย ถามว่า ในฐานะที่ท่านทำหน้าที่ในสถานกงสุลไทยประจำประเทศกัมพูชา ท่านจะยอมรับจดทะเบียนการเกิดให้แก่น้องกอไก่ในสถานะคนสัญชาติไทยหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?[1]
อนึ่ง มาตรา ๒๘ วรรค ๑ แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ บัญญัติว่า “ให้กงสุลไทยหรือข้าราชการสถานทูตไทยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนมีหน้าที่รับจดทะเบียนคนเกิดและคนตายที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับคนสัญชาติไทยและคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หลักฐานการจดทะเบียนดังกล่าวให้ใช้เป็นสูติบัตรและมรณบัตรได้”
-------------
แนวคำตอบ
--------------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลว่าด้วยหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐและหลักการเลือกการกฎหมาย จะเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องของสิทธิในสัญชาติเป็นเรื่องตามกฎหมายมหาชน ด้วยว่า เป็นเรื่องระหว่างรัฐและเอกชน เป็นนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายมหาชน แม้มีลักษณะระหว่างประเทศ ก็จะต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายมหาชนภายในของรัฐคู่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การพิจารณาสิทธิในสัญชาติของรัฐ จึงต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายภายในว่าด้วยสัญชาติของรัฐเจ้าของสัญชาติ ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีการกำหนดเป็นอย่างอื่นโดยรัฐที่เกี่ยวข้อง
เมื่อเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยประจำประเทศกัมพูชาได้รับการร้องขอจากบุพการีของน้องกอไก่ให้จดทะเบียนการเกิดให้แก่น้อง เจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็จะต้องพิจารณาว่า น้องกอไก่มีสถานะเป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยผลอัตโนมัติของกฎหมายหรือไม่ ?
เมื่อเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยประจำประเทศกัมพูชากลับมาพิจารณาข้อเท็จจริงของน้องกอไก่ซึ่งจะเกิดในประเทศกัมพูชาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๙ จากนายบุญสวาท ซึ่งมีสถานะเป็นคนสัญชาติลาวในทะเบียนราษฎรของรัฐลาว และนางสาวพิมพ์ผกาซึ่งมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย โดยหลักกฎหมายสัญชาติสากล จึงอาจสรุปได้ว่า น้องกอไก่ย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดาเพราะน้องกอไก่ย่อมมีจุดเกาะเกี่ยวที่แท้จริงโดยการเกิดกับประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐเจ้าของสัญชาติของนางสาวพิมพ์ผกา ซึ่งเป็นมารดา แต่การใช้สิทธิในสัญชาติไทยนี้ย่อมเป็นไปตามกฎหมายไทยที่มีผลในขณะที่น้องกอไก่เกิด กล่าวคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๒ และ ๓) พ.ศ.๒๕๓๕ รวมถึง พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ และ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ.๒๕๕๕ ซึ่งบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ว่าด้วยสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา ก็คือ มาตรา ๗ ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด (๑) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย …….”
โดยพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าว เราจึงสรุปได้ว่า คนที่ทรงสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดโดยหลักสืบสายโลหิตจากมารดา ก็คือ คนที่เกิดจากมารดาที่มีสถานะเป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต โดยไม่ต้องมีข้อเท็จจริงอื่นใดอื่นมาประกอบ ขอให้สังเกตอีกว่า แม้น้องกอไก่จะได้รับการแจ้งการเกิดในสถานะคนสัญชาติกัมพูชาโดยการเกิดโดยหลักดินแดนมาแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้น้องกอไก่เสียสิทธิที่จะได้รับการรับรองสถานะคนสัญชาติไทยใน “หลักฐานการจดทะเบียนคนเกิดที่มีขึ้นนอกราชอาณาจักรสำหรับคนสัญชาติไทยโดยผลของมาตรา ๒๘ วรรค ๑ แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ เพื่อใช้แทนสูติบัตร” ซึ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านประเภทคนอยู่ถาวร (ท.ร.๑๔) ในสถานะคนสัญชาติไทย เมื่อกลับไปประเทศไทย หรือในการออกหนังสือเดินทางโดยกระทรวงการต่างประเทศในสถานะคนสัญชาติไทย
จะเห็นว่า น้องกอไก่จะมีสถานะเป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทยในกลุ่มล่าสุด กล่าวคือ เป็นกลุ่มที่ ๑๓ ของประวัติศาสตร์กฎหมายเพื่อรับรองสิทธิในสัญชาติไทย
[1] ข้อสอบปลายภาคในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคที่ ๒ ของปีการศึกษา ๒๕๕๘
ไม่มีความเห็น