การเรียนปริญญาเอกทางปรัชญานั้นไม่ใช่การสนทนาไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็จับประเด็นอะไรไม่ได้ แต่เราต้องตั้งประเด็นเป็นเรื่องๆ เป็นหัวข้อไป เช่น เรื่องพหุศาสนา ความแตกต่างหลากหลาย การนับถือศาสนาเดียวกันแต่ทำไมความเข้าใจในการประพฤติ/ปฏิบัติไม่เหมือนกันในแต่ละวัด อาจลงรายละเอียดเช่นนโยบายไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่เรื่องการนั่งสมาธิ คนก็เข้าใจไม่เหมือนกัน เรื่องเหล่านี้ปรัชญาหลังนวยุคไม่ได้เน้นพิสูจน์หาความจริงเที่ยงแท้ แต่เน้นการตีความเป็นสำคัญ
ทำไมต้องตีความ ? เพื่อให้เข้าถึงเจตนารมณ์ของผู้แต่ง เข้าถึงแก่น เข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้
การไม่ตีความ แต่กลับมาทะเลาะกัน แทนที่จะมาปฏิบัติ การที่มีผู้บอกว่าเขาไม่ตีความนั้น ก็เป็นการตีความอย่างหนึ่ง
การยึดติดเพียงสำนักเดียว มีปัญหาคือ เราจะทราบได้อย่างไรว่าสำนักนี้สอนตรงตามเจตนารมย์ของศาสดามากที่สุด
แต่ถ้าเป็นนักปรัชญา จะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดต่อไปโดยไม่ได้ยึดติดแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ถ้าอาจารย์สอนตามที่เรารู้ มันจะไม่แตกฉานอะไร แต่ถ้ามีใครถามมากขึ้นเรื่อย ปัญญาของอาจารย์จะแตกฉานมากขึ้นและสามารถที่จะเสนออะไรที่ใหม่ ๆไปได้เรื่อยๆ ด้วย
การตีความพระไตรปิฏก การตีความคัมภีร์ เป็นทฤษฏีที่ใช้ได้กับทุกศาสนา ศาสนาอื่นๆ ก็น่าจะใช้วิธีการเดียวกันนี้ ถึงแม้จะศึกษาคนละคัมภีร์ เราตีความเพื่อเกิดความเข้าใจ นำไปปฏิบัติเพื่อไปสู่เป้าหมายคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ศาสดามาเปิดเผยให้เรารู้
สิ่งที่สูงสุดของศาสดาคือ หาได้จากในพระไตรปิฏก
ทุกศาสนามีศาสนบุคคลมาอธิบายคัมภีร์ ยกตัวอย่างเช่น การฟังอธิบายนั้น ฟัง 10 ท่านก็อธิบายไม่เหมือนกัน การฟังสำนักเดียวนั้นเราจะได้มั่นใจอย่างไรว่าสอนตามเจตนาของศาสดาดีที่สุด ถามว่าทำไมต้องสงสัย ก็เพราะไม่ได้มีสำนักเดียว ถ้ามีสำนักเดียวก็คงไม่ต้องคิดอะไรมาก
การตีความเพื่อเข้าใจ ปฏิบัติและขยายความจากประสบการณ์ในการปฏิบัติและประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ ต่อไป
เคล็ดลับในการตีความเพื่อเพิ่มความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ
กระบวนการวิเคราะห์ 3 ขั้นตอนในการตีความพระไตรปิฏก
1.ทำความเข้าใจในคำสอนของศาสดาให้รู้เพื่อปฏิบัติ โดยมีความเข้าใจในพื้นฐานของคัมภีร์-การขยายความ เพราะการเข้าใจเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ถือว่าบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนา แต่ในขณะเดียวกันการรู้และเข้าใจก็เป็นพื้นฐานในการต่อยอดของการปฏิบัติต่อไป ถือว่าเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน และต้องทำควบคู่ด้วยกันไป
2.เลือกทางปฏิบัติ-วางแผนการปฏิบัติและขยายความว่าปฏิบัติได้ผลอย่างไร มีรายละเอียดอย่างไรที่จะให้การปฏิบัติของเรานั้นมีการพัฒนาต่อไป
3.ขยายความจากพระไตรปิฏกและเมื่อนักปฏิบัติที่มีประสบการณ์ก็จะทราบได้ว่ามีข้อดี-ข้อเสีย-อุปสรรค หรือวิธีการอื่นๆอย่างไร
เป้าหมายของการตีความ คือ
1.เพื่อเข้าใจ (Understanding)
2.วางแผนปฏิบัติ (Planning) ซึ่งนำไปสู่ Practice ขยายผล (Explanation) จากประสบการณ์
ไม่มีความเห็น