เป็นความบังเอิญของชีวิตก็ใช่ แต่น่าจะเป็นชะตาชีวิตซะมากกว่า ที่กำหนดว่า ผมต้องได้เจอคุณอุทิศ เหมะมูล สักวันหนึ่ง เพราะหลายปีที่ผ่านมา ผมได้อ่านนวนิยายหรือเขาเรียกมันว่า เรื่องเล่าชีวิตของเขา "ลับแล, แก่งคอย" นักเขียนซีไรท์ ปี 2552 ที่แสนจะกระชากความรู้สึกของผม เหมือนอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์และหักมุมตอนท้ายเรื่อง จนผมแทบถูกน๊อก
คุณอุทิศ ปรากฏตัวในสายวันหนึ่ง ห้องประชุมที่อบอุ่น เพราะมีแต่เพื่อนๆ ของผม สาวน้อยสาวใหญ่ จ้องตาเป็นมัน เพราะเขายังหนุ่มมากๆ โดยเฉพาะการแต่งกายที่เด็กแนว รองเท้าผ้าใบที่่มีสีสันไม่เข้ากับใบหน้า
คุณอุทิศเล่าถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก เช่นเดียวกับลับแล, แก่งคอย เขาพูดลื่นไหล นอกจากเขียนดีแล้ว ยังเล่าเรื่องตัวยง ชีวิตที่แสนลำเค็ญของครอบครัว การเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อ เกือบตลอดชีวิต วัยเรียน และชีวิตวัยหนุ่มที่แสนลำบากและโลดโผน
การมีชีวิตอยู่กับหญิงสาว ที่ต่อมาเป็นภรรยา ที่เธอเลี้ยงเขา ไม่ให้ทำงาน และให้อยู่บ้านเพื่อเขียนหนังสืออย่างเดียว
เขาเขียนหนังสือทุกวัน ในภาคเช้า บ่ายๆ ออกไปเดินเล่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน วนเวียนทุกวันไม่มีเบื่อ มันเป็นวินัยในการเดินทางอย่างแท้จริง
เขาถ่อมตัวว่า โชคดีที่ได้รางวัลซีไรท์ ทำให้งานของเขาขายได้ ได้มีเงินแต่งงาน ได้เลี้ยงแม่กับน้อง
"หัวใจนักเขียน" เป็นหนังสือเล่มล่าสุด ซึ่งพร้อมขาย วางแผงเมื่อวานก่อนจะพบปะพวกเรา ก่อนวันที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 จากไป
ผมชอบหนังสือเล่มนี้ เพราะเป็นเรื่องราวการเดินทางของชีวิตและงานเขียนของเขา ทำให้ผมทึ่งว่า เขายังหนุ่มแต่มีแง่มุมในการเขียนที่ตกตะกอน ทำให้ผู้อ่านได้แง่คิดมากมาย
คุณอุทิศ ยั่วยวนพวกเราว่า
"มันจะเป็นตายไหม ถ้าไม่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมา?" คุณลองถามตัวเอง หรือลองสมมติว่าเป็นใครสักคนหนึ่งที่ทักถามตัวคุณเอง ถ้าคุณตอบว่า"ใช่ว่ะกูจะตายแน่นอน" นั้นคือจุดเริ่มต้นของการเขียน
ลองถามใจตัวเองนะครับ>>>>>>
นักเขียน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้อง " เขียน" อ่ะนะ
แต่น่าเศร้าหนักหนาที่เวลานี้ คนไม่นิยมอ่านหนังสือ
สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ปิดตัวไปมากมาย แม้แต่หนังสือ
นิตยสารที่มีอายุยืนยาวมาหลายทศวรรษอย่าง " สกุลไทย"
ก็ยังต้องต้องปิดตนเอง แล้วยังมีหนังสือพิมพ์บ้านเมือง
นั่นก็อีก....ต้องปิดตัวไป...น่าเศร้าจริง ๆ
ถึงอย่างไร...นักเขียนก็ยังต้องเขียนต่อไป
เป็นกำลังใจให้กับ " หัวใจนักเขียน" ทุกดวงจ้ะ