ระยะหลังผ่าตัด (post-operative phase) ระยะนี้นับตั้งแต่การผ่าตัดสิ้นสุดลง และนำผู้ป่วยมาดูแลต่อในห้องพักฟื้นจนกระทั่งปลอดภัยดีจึงส่งกลับหอผู้ป่วย และได้รับการดูแลต่อที่หอผู้ป่วย บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยในผู้ป่วยมีดังนี้ (เรณู อาจสาลี, 2550)
1. ระยะหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง กิจกรรมการพยาบาลมีดังนี้
1) การประเมินระดับความรู้สึกตัว ลักษณะการหายใจ ความเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ การไหลเวียนโลหิต และค่าความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดที่วัดโดย pulse oximetry และประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ แขน ข้างที่ผ่าตัด
2) การประเมินแผลผ่าตัด ซึ่งผู้ป่วยจะมีแผลผ่าตัดที่หน้าอกข้างที่ผ่าตัดปิดทับด้วยผ้าปิดแผล ลักษณะแผลผ่าตัดเป็นแนวยาวตามขวาง มีสายยางเล็กๆต่อจากแผล ลงสู่ขวดสุญญากาศเพื่อเป็นการระบายเลือดและน้ำเหลืองที่ออกจากแผล และเป็นการป้องกันการคั่งค้างของเลือดและน้ำเหลืองในแผล พยาบาลจะมีการดูแลให้ขวดสุญญากาศทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาโดยสังเกตจากหนวดที่อยู่บนฝาขวดต้องกางออกจากกันอย่างน้อย 20 องศา รวมทั้งมีการสังเกตและจดบันทึกลักษณะสี และปริมาณของเลือดและน้ำเหลืองที่ออกจากแผลผ่าตัดเพื่อประเมินภาวะเลือดออกที่ผิดปกติ
3) การประเมินระดับความปวด โดยประเมินเป็นระดับคะแนน คือ 0 หมายถึงไม่ปวดเลย ถึง 10 หมายถึง ปวดมากที่สุด หากคะแนนความปวดน้อยกว่า 5 ผู้ป่วยจะได้รับการบรรเทาปวดด้วยยาแบบรับประทาน เช่น พาราเซตามอล หรือถ้าคะแนนความปวดมากกว่า 5 ผู้ป่วยจะได้รับการบรรเทาความปวดด้วยยาฉีดทางหลอดเลือดดำ เช่น มอร์ฟีนซึ่งจะช่วยบรรเทาความปวดได้ในเวลา 1-2 นาที
4) หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรกผู้ป่วยจะยังคงได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ และได้รับยาปฏิชีวนะชนิดฉีด เมื่อผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ดี ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน พยาบาลจะเอาสารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดำออก เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก มีการลุกเดินภายหลังการผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว
2. ระยะหลังผ่าตัด 1-3 วัน กิจกรรมการพยาบาลมีดังนี้
1) ในระยะนี้ยังต้องมีการประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ แขน ข้างที่ผ่าตัด รวมทั้งอาการปวดบริเวณด้านหน้าของแขนข้างที่ผ่าตัดเพื่อประเมินการเกิดการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทบริเวณแขนข้างที่ผ่าตัด
2) การประเมินภาวะเลือดออกใต้แผล (hematoma) และการประเมินการทำงานของขวดสุญญากาศในการระบายเลือดและน้ำเหลืองออกจากแผลให้ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเพื่อป้องกันภาวะแขนบวม
3) การประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน การรับประทานอาหาร อาการเจ็บคอ อาการคลื่นไส้ อาเจียน เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูร่างกายภายหลังการผ่าตัดได้เร็วขึ้น
4) การประเมินระดับความปวด ซึ่งระยะนี้ผู้ป่วยจะมีระดับความปวดลดลงมาก หากพบว่าผู้ป่วยยังมีระดับความปวดมากกว่า 5 คะแนน และไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ต้องมีการหาสาเหตุและแก้ไขต่อไป
5) การกระตุ้นให้เริ่มบริหารแขนและข้อไหล่ภายหลังการผ่าตัดวันที่ 1 โดยเริ่มบริหารในท่าที่ง่ายก่อน และควรบริหารต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกวันเพื่อป้องกันแขนบวมและข้อไหล่ยึดติด (สมจิตร ชัยยะสมุทร, 2536; Morimoto, Tamura, Ichihara, Minakawa, Kuwamura, Miki & Sasa, 2003; Nesvold, Dahl, Lokkevik, Mengshoel & Fossa, 2008)
6) การประเมินเกี่ยวกับการนอนหลับพักผ่อน หรือความเหนื่อยล้าของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการให้การพยาบาลที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
ไม่มีความเห็น