พ่อ..(บั้นปลายชีวิต..ในวันที่พ่อเดินช้าลง..1)


ปีนี้ พ่อ อายุ 88 ปี 

แต่พ่อยังทำตัวแข็งแรงเสมอ..  แม้นในวันที่พ่อล้า... วันที่พ่อไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อน

พ่อยังคงเดินเข้า-ออกจากบ้านไปสวน จากสวนไปบ้าน  พ่อยังคงทำอย่างนี้เสมอ  เรื่อยมา..ไม่เคยขาด  

นั่นอาจเป็นเพราะว่า..ชีวิตชาวสวนที่พ่อเป็นอยู่นั้น พ่อผูกพันกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ที่มันที่งอกงามเขียวขจี อยู่ภายในสวนของพ่อ ไม่้ผลที่พ่อปลูก ไม่ว่าจะเป็น...เงาะเอย ทุเรียนเอย ขนุนเอย ลองกองเอย สะตอเอย  มังคุดเอย และอีกสารพัดนัก ที่ผมกล่าวไว้ไม่หมด เสมือนว่า..สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นประดุจเครือญาติของพ่อ ที่คอยหล่อเลี้ยงหัวใจของพ่อ เป็นเพื่อนพ่อในวันที่พ่อเดินดุ่ม ๆ ไปกับไม้เท้าคู่กาย ภายในสวนแห่งนี้  เดินดูไม้ต้นโน้น ต้นนี้ ชมโน้น ชมนี่ จนเพลิน  แล้วพ่อก็เดินอมยิ้มกลับบ้านแก้มตุ่ย.. ตามลำพัง อย่างนี้ เรื่อยมา นานนนนน...เหลือเกินแล้ว

หลายต่อหลายครั้งที่ผมเห็นพ่อเดินถือไม้เท้ากระย่องกระแย่ง กลับออกมาจากสวน  ด้วยใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อ  

แต่ใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อของพ่อนั้น.. ผมกลับมองว่า..เหงื่อนี้..มันแอบแผงไปด้วย "พลังชีวิต"  ที่พ่อเดินเข้าไป "เติมเต็ม" 

สิ่งนี้เอง ที่ทำให้ผมเชื่อสนิทใจในคำพูดของพ่อ...ที่พ่อเคยพูดให้ลูก ๆ ของพ่อฟังเสมอว่า....เพื่อนของพ่อที่รุ่นราวคราวเดียวกับพ่อนั้น มันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว  มีแต่พ่อคนเดียวนี่แหละที่ยังคงแข็งแรง  เดินไปไหนต่อไหนได้ มีชีวิตอยู่ และแข็งแรงมาถึงทุกวันนี้

..

ปีนี้ ผลไม้ภายในสวน ออกผลมา..ดกระย้า   มังคุดลูกดกเต็มต้น  เงาะโรงเรียนลูกเริ่มแดงระเรื่อแล้ว ส่วนลองกองนั้น ติดผลบ้าง ถึงแม้นว่าจะไม่มากเหมือนปีก่อน ๆ แต่ก็ยังคงเห็นได้เป็นกอบเป็นกำ ทุเรียนพันธุ์ปีนี้  ชะนี หมอนทอง กระดุม ชมพูศรี ฯลฯ บล่อยให้มันผลิดอกออกผลตามธรรมชาติ ไม่ได้ดูแลพวกมันเหมือนก่อน ..ผมประเมินดูพวกมัน..จากสิ่งที่ผมเห็นในวันที่ผมแอบเดินเข้าไปในสวน..พ่อดูพ่อเป็นบางคราว

..

แม่เคยพูดกับลูก ๆ ว่า 

"ช่วงนี้ พ่อมึง..กลางวัน  ไม่ค่อยกลับเข้าบ้าน มากินข้าว  ลองเดินข้าวไปดูหน่อยซิ...ว่าจะเป็นลมไปหรือเปล่า"

ซึ่งผมรู้ว่า..แม่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ...แต่สุดท้าย.. แม่ก็เดินเข้าสวนไปตามพ่อออกมากินข้าวเที่ยง..เสมอ ๆ...

ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม่ยังเคยพูดว่า....ช่วงนี้พ่อมึง ข้าวเที่ยงไม่มากิน  กินแต่เงาะ จนพุงกาง ..และขลุกตัวอยู่ในสวน กว่าจะเข้าบ้านก็ปาเข้าไปบ่าย

ผมไม่แปลกใจครับ เพราะช่วงผลไม้ทุก ๆ ปี พ่อก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ผมรู้แม้กระทั่ง... พ่อชอบปลูกทุเรียนเป็นชีวิตจิตใจ และในชีวิตจริงของพ่อ.. พ่อเกลียดการกินทุเรียนเป็นที่สุด  พ่อไม่ชอบกินทุเรียน ..แต่พ่อกลับชอบกินเงาะ

..

ถึงแม้นบั้นปลายชีวิตของพ่อและแม่จะอยู่กันตามลำพัง แต่พ่อกับแม่ไม่เคยเหงา เพราะลูก ๆ 6 คน จะเวียนแวะมาหาพ่อกับแม่กันไม่เคยขาด คนโน้นที คนนี้ที(โดยเฉพาะน้องสาวคนเล็กที่ลงทุนลาออกจากงานที่ทำอยู่ประจำ.. มาเลี้ยงดูพ่อกับแม่หลายปีแล้ว..(น่าชื่นใจเหลือเกิน))

..

เหมือวันที่ฟ้าปิด.. ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา ..  น้ำไหลเชี่ยว..สายฟ้าฟาดกระหน่ำ...

ผมถูกปลูกขึ้นกลางดึก ประมาณ ตีสองของวันที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2561..ด้วยน้ำเสียงอันดังปนเศร้าของแม่ ที่เด็กตัดยางขับรถมอเตอร์ไซต์มาส่งแม่ที่หน้าบ้านของผม....แม่ตะโกนด้วยถ้อยคำที่ว่า...."พ่อเข้าโรง'บาล ด่วน เมื่อกี้...ไปดูพ่อเร็วลูก"

(อาการก่อนหน้าที่พ่อจะเข้าโรงพยาบาล...พ่อบ่นกับแม่ว่า ไม่ได้ถ่ายมา 2 - 3 วันแล้ว พยายามกินยาถ่ายอยู่ แต่ก็ยังถ่ายไม่ออก  คืนวันที่พ่อเข้าโรงพยาบาล โชคดีมาก ตรงที่เป็นวันเวลาที่พี่ชายคนโตที่อยู่ชุมพร มาดูและจัดการเรื่องผลผลิตภายในสวนปีนี้พอดี พ่อบ่นอยู่อย่างนี้และพ่อก็เข้านอน (ผมเชื่อว่าพ่อมีความอดทนที่สูงมาก และผมก็ยังคงเชื่อว่า ..ใจของพ่อนั้น พ่อกินยาเข้าไปเดี๋ยวมันก็ หายปวดท้อง หายท้องอืด และก็ถ่ายออกมาเอง เหมือนหลายต่อหลายครั้งที่พ่อเป็น พ่อก็ทำวิธีนี้มาโดยตลอด เพราะพ่อเชื่อว่า...มันเป็นโรคของคนแก่..ไอ้เรื่องไม่ขี้เนี่ย!! กินยามันสักหน่อยเดี๋ยวมันก็ถ่ายโล่งสบายพุงเหมือนพ่อครั้งที่พ่อเป็น พ่อเป็นมาอย่างนี้มาต้ังนานแล้ว  ทุกครั้งที่เป็นก็กินยาถ่าย จนเป็นความเคยชินของพ่อไปโดยปริยาย แต่สิ่งที่พ่อกังวลเป็นห่วงสุขภาพ กลับเป็นเรื่องสายตา ที่พ่ออยากให้มันวิ้งเหมือนก่อน คือ ดูทีวีเห็นชัดแจ๋วเหมือนสมัยก่อน ๆ นั่นเอง)

..

ผมนั่งงัวเงีย!! อยู่เป็นครู่ พอได้สติก็รีบขับรถจากบ้านสวนไปโรงพยาบาล เช้าตรู่วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องตื่นแต่เช้า ขับรถพาดวงใจไปตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งที่ศาลหลักเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องในโอกาสพิเศษของโรงเรียนที่ทำร่วมกับจังหวัดฯ งานนี้เป็นอันต้องยกเลิกไป 

ผมถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดด้วยเวลาในการขับรถเพียงไม่นานนัก  

ผมกุลีกุจอ เดินกึ่งวิ่งสาวเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ใจคิด...พ่อถูกส่งตัวเข้าตึกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน พ่ออยู่ที่นั้นช่วงเวลาไม่นานนัก พ่อถูกส่งตัวต่อมายังตึกผู้ป่วยศัลยกรรม ด้วยอาการนำเฉียบพลัน คือปวดท้องอย่างรุนแรง

แต่สิ่งที่ผมเห็น นั่งกองกันอยู่ปลายเตียงของพ่อที่นั่น ..พี่สาวคนโต พี่ชาย พี่สะไภ้ที่เป็นปลัดฯ และน้องสาวคนเล็ก รวมทั้งตัวผม(ขาดแต่น้องสาวคนกลางที่อยู่กรุงเทพฯ และน้องชายคนที่อยู่ภูเก็ต ยังไม่มาไม่ทัน) ผมเชื่อว่า...ถึงแม้นว่าพ่อจะเจ็บเพียงไหน แต่พ่อก็ใจชื้นที่มีลูกอยู่ใกล้ ๆ 

..

พ่อยังคงบ่นปวดท้อง ..เสียงโอย ของพ่อ..ผมเชื่อว่า มันปวดสุดแสนที่จะทน เพราะผมไม่เคยได้ยินเสียงนี้จากปากของพ่อเลย ทุก ๆ ครังที่พ่อบ่นปวดท้อง...แต่ครั้งนี้..พ่อร้องโอย!! ให้ ลูก ๆ ได้ยิน... หมอ พยาบาล คนไข้ข้างเตียงพ่อ... ต่างได้ยินกันถ้วนทั่ว

..

ผมเชื่อว่านี่คือ..วิกฤติในชีวิตของพ่อ  และผมรู้ดีว่า  พ่อยังคงครองสติ ของพ่อได้...  พ่อมีสติ ผมเห็นสายตาของพ่อ ที่มองมายังผม ผมเห็นปฏิกริยาของพ่อ ที่พ่อปวด พ่อไม่ดิ้นทุรนทุราย ...พ่อยังคงฟังเสียงต่าง ๆ ที่ส่งผ่านมาถึงพ่อ...

..

อาการปวดท้องของพ่อ ยังคงปวดเป็นพัก ๆ ..บางช่วงมันก็ทุเลาลง  และช่วงจังหวะที่มันทุเลาลงนี่แหละ ที่ผมพยายามใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นโอกาส เพราะผมรู้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต.. ผมรู้ถึงวินาทีีชีวิตที่มีค่าที่สุด ที่ผมได้มันมาแล้ว และอยากส่งต่อให้พ่อได้  ซึ่งผมเคยหยิบยื่นสิ่งนี้ให้กับพ่อก่อนหน้านี้  ไม่ใช่ว่าผมจะพูดสิ่งนี้ เดี๋ยวนี้  เวลานี้ แต่ผมพูดสิ่งนี้ ให้พ่อทำสิ่งนึ้ มานานพอควร และผมก็เชื่อว่า.. พ่อได้ทำ พ่อเข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ และเวลานี้พ่อก็พยายามทำมันอยู่เช่นกัน

..

ช่วงที่พ่อทุเลาจากอาการปวดนี่เอง ...ที่ผมบอกกับพ่อว่า..พ่อนึก "พุทโธ" ไว้นะ ..ให้เหมือนกับที่พ่อเคยนึก เคยทำ นั่นแหละ!!

พุทโธ..จะช่วยให้พ่อเจ็บน้อยลง...ปวดน้อยละ  ...พ่อเชื่อผม!!

ผมเห็นพ่อพยักหน้า..และผมก็รู้ครับว่า.. พ่อกำลังทำอะไรอยู่

แต่ผมก็ยังคงสงสารพ่อจับใจ...พ่อนิ่งเงียบอยู่ได้ไม่นานนัก.. อาการปวดท้องของพ่อ..มันก็ปวด..ขึ้นมาอีก

..

เช้าตรู่วันที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2561 

คุณหมอเข้ามาตรวจอาการของพ่อ เป็นการเร่งด่วน สิ่งที่หมอต้องทำด่วน นั่นคือ ..การส่งพ่อเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน ซึ่งผมคาดเดาจากสิ่งที่คุณหมอที่ตรวจพ่อ ได้ความประมาณว่า..พ่อน่าจะเป็นลำไส้อุดตันเฉียบพลัน จากการทีี่พ่อไม่ได้ถ่ายมา 2-3 วัน และอาการปวดที่ว่านี้ ต้องระงับด้วยการฉีดมอร์ฟีน และส่งพ่อเข้าห้องฝ่าตัดด่วนในเช้านี้

..

ช่วงเวลาวิกฤตินี้เอง ผมทำหน้าที่เฝ้าพ่อ แทนลูก ๆ คนอื่น ที่ปลีกเวลากลับไปทำภาระกิจส่วนตัวและจะกลับเข้ามาใหม่พบกันอีกครั้ง ในช่วงสายเพราะเนื่องจากต่างคนต่างเพลียกันมาตลอดทั้งคืน (มีผมคนเดียวในช่วงนั้นที่มาไม่ทัน... ต้องดูแลและเฝ้าพ่อในช่วงเวลานี้)

..

และนาทีชีวิตของพ่อ...ที่ผมต้องตัดสินใจเซ็นอนุญาตให้หมอทำการผ่าตัดพ่อทันที ..ผมตัดสินใจเดี๋ยวนั้น เซ็นเดี๋ยวนั้น เพราะรอลูกคนอื่นไม่วิกฤตินี้..ผมเซ็นใบยินยอมทำการผ่าตัดฉุกเฉินของพ่อทันที  และวินาทีนั้นเอง...ที่พ่อถูกส่งขึ้นเปลเร็ว(หมายถึง เปลที่วิ่งรุนพ่อไปห้องผ่าตัด) นำพ่อเข้าห้องผ่าตัดทันที

คนที่วิ่งตามเปล.. มีผมและพี่สาวคนโตที่ตามมาสมทบทันเวลา....พ่อถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินแล้ว

ผมเห็นทีมหมอ ทีมพยาบลหลายคนที่วิ่งเข้า วิ่งออก ที่นั้น เวลานั้น

พ่อคือ คนไข้หนึ่งในวิกฤติเช้านี้ ที่โรงพยาบาล

หมายเลขบันทึก: 649176เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2018 00:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม 2018 01:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอให้คุณพ่อปลอดภัย แข็งแรงเหมือนเดิมค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท