24 มิ.ย. 2548 เราไปดูงานแห่งแรกที่ภาควิชาพยาธิวิทยาคลินิก ศิริราช มี รศ.ดร.พญ.นิสารัตน์ โอภาสเกียรติกุล หัวหน้าภาควิชา ให้เกียรติบรรยายสรุปและพาชมห้องแลบ ฝ่ายเรามีอาจารย์ผู้ใหญ่คือ ผศ.พญ.สินีนาฏ กาลเนาวกุล และ อ.ดร.ประสิทธิ์ เรืองไรรัตนโรจน์ ที่เหลือก็เป็น young blood รวมทั้งดิฉันด้วย
ก็อย่างที่จั่วหัวข้อไว้ว่า “อย่ามองแบบเรียลไทม์” ไม่ใช่ชื่นชมกับความสำเร็จแล้วเลิกกัน แต่กว่าจะถึงวันนี้.... ต้องผ่านขวากหนามอะไรมาบ้างเราซักไซ้หมด เพื่อเอามาเป็นแนวทางของเรา ต้องขอสารภาพกับ อ.นิสารัตน์ ณ ตรงนี้ว่า “อาจารย์ขา เอกสารอะไรที่เราไม่สามารถขอฉบับสำเนาได้ เราช่วยกันจดหัวข้อสำคัญๆ มาเกือบหมดเลยค่ะ” โดยทำงานกันเป็นทีม เพราะเรารู้สึกว่าต้องเก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด
ศิริราชเขามีกลยุทธ์อย่างนี้ค่ะ 1) กำหนดเป้าหมายร่วมกันโดยการสัมมนาภาค 2) กำหนดผู้รับผิดชอบ 3) สื่อสารข้อมูลกับทุกคน เพราะ ISO ไม่ใช่งานเอกสารอย่างเดียว แต่ ISO คือการลงมือปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานจริงๆ เพื่อคุณภาพ ทวนสอบได้ และ 4) เมื่อทำแล้วหาคนมาประเมินว่าเป็นอย่างไร และประการที่สำคัญมากๆ คือ ท่านคณบดีเปิดไฟเขียวเต็มที่ ถึงไหนถึงกัน เซ็นหนังสือกลางค่ำกลางคืนก็ไม่บ่น เพราะบางครั้ง ด่วนที่สุด
อ.นิสารัตน์มีความกรุณามาก เลี้ยงอาหารกลางวันที่อร่อยๆ พวกเราที่ภาควิชานั่นเอง เป็นบรรยายกาศของมิตรภาพอย่างยิ่ง พอตกบ่ายก็ดูงานเอกสารต่อ (ช่วงนี้แหล่ะที่แอบจดมา) ดูจนวินาทีสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่จะสามารถให้ดูได้ อาหารมื้อเย็นเราไปทานกันที่ร้านแถวพรานนก ฝนตกหนักมาก เราต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฝนบนกันสาด แต่เราต้องตะเบ็งเสียงกันมากขึ้นเพราะเราทั้งหมด 4-5 คนเถียงกับ คุณรุ่งเรือง แห่งซีโร เพียงคนเดียว เรื่อง ข้อกำหนดนี่แหละ เพราะคุณท่านเห็นต่างไปจากเรา อันนี้คือเหตุการณ์ปกติ แต่เราไม่เคยโกรธกันนะ ต้องยกความดีให้รุ่งเรืองด้วย ว่าแยกแยะออกอะไรคืออะไร เราถึงรวมกันเป็นทีมได้จนปัจจุบันนี้
พรุ่งนี้เช้าเราจะไป รพ.บำรุงราษฎร์ พอเที่ยงจะไป รพ.จุฬาฯ ตอนเย็นกลับบ้าน คืนนี้และเมื่อคืนวานเรานอนที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ บริเวณสนามหลวงเป็นโรงแรมที่หลายๆ คนรับรู้ว่าเมื่อ 16 ตุลา 2519 มีนิสิต นักศึกษา ประชาชน ถูกรัฐบาลเผด็จการทหารปราบปราม และมาเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย
มีเรื่องลุ้นระทึกค่ะ ดิฉันต้องนอนคนเดียว เพราะจำนวนคนที่ไปเป็นเลขคี่ คนอื่นๆ เขาเอาตัวรอดกันหมด พอเข้าห้องเสร็จก็สำรวจรอบๆ ห้องว่ามีอะไรบ้าง ทุกอย่างโอเค ก่อนนอนก็พนมมือไหว้พระเหมือนที่ปฏิบัติมา และแถมอธิษฐานว่า “อย่ามาหลอกหลอนเลย เราพวกเดียวกัน (หมายถึงต่อต้านเผด็จการ)” ตอนนอนก็เลือกนอนเตียงที่อยู่ชิดฝาผนังด้านระเบียง กะว่าจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบริเวณประตูและห้องน้ำได้ เปิดไฟห้องน้ำไว้ หรี่ไฟหัวเตียงไว้ นอนตะแคงหันหลังชนฝา สอดตัวใต้ผ้าห่มมิดชิด วาดหวังว่าจะนอนตะแคงท่านั้นท่าเดียวทั้งคืนหรือตื่นมาในท่านั้น ช่างไม่คิดซะบ้างเลยว่าคืนๆ หนึ่งเราเปลี่ยนอิริยาบถไม่รู้กี่ครั้ง
คุณเอ๊ย ! ! ! ตื่นมาตี 2 ตายละซี ขณะนี้หันหน้าเข้าฝาผนังซะแล้ว ไม่กล้าพลิกตัวกลับ กลัวจะเห็นอะไรด้านหลัง พนมมือไหว้พระอีก ค่อยๆ ค่อยๆ เอี้ยวตัวกลับมาช้าที่สุดเพราะความกลัวทั้งๆ ที่ห้องออกสว่าง ต้องขอบอกว่าทรมานมาก สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไร “แล้วกลัวอะไร” ถามตัวเอง แต่ก็ตอบไม่ได้ ครั้งหลังๆ เวลาไปพักที่โรงแรมคนเดียวอธิษฐานใหม่ว่า “อย่าฝันและอย่าตื่นมาเข้าห้องน้ำยามดึก” จนป่านนี้ก็ยังไม่สนุกนักที่จะนอนโรงแรมเพียงลำพัง แต่...เอ…… เวลาเราถูกทิ้งให้นอนที่หอผู้ป่วยคนเดียวไม่ยักกะกลัว รับรองได้ว่าทุกห้องของโรงพยาบาลต้องมีคนเคยเสียชีวิตในมาแล้วทั้งนั้น หรือว่าเราเคยชิน เราจึงไม่กลัว
ท่านเคยเป็นเหมือนดิฉัน บ้างไหมคะนั่นสิคะ..อ.ปารมี นอกจากรู้ว่ากลัว...แล้ว แถมยังเล่าจนคนไม่กลัวอย่างเรา ชักจะลองหันหลังดูซะแล้ว
สนุกยอดเยี่ยม แต่มีสาระตามเคยเลยค่ะ แสดงว่ามีเอกลักษณ์แบบนี้จริงๆ จะต้องตามเป็นแฟนพันธ์แท้กันเสียแล้ว