เบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕ (The Five Aggregates)
แพทย์เวชกรรมไทย (Thai traditional physician) ต้องเรียนรู้ร่างกายมนุษย์ให้รู้จักโครงสร้าง ลักษณะรูปร่าง คุณสมบัติของอวัยวะต่างๆ คือ “เบญจมหาภูตรูป” เป็นการเรียนรู้กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) พร้อมทั้งเรียนรู้การทำงานของเบญจมหาภูตรูป (Body) ที่ต้องอาศัยและเกี่ยวข้องกับนามหรือ Mind (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) คือ “เบญจขันธ์ “ เป็นการเรียนรู้วิชาสรีรวิทยา (Physiology) แล้วจึงเรียนรู้กลไกการควบคุมกำกับการทำงานของอวัยวะต่างๆ คือ “ตรีธาตุ” ซึ่งเปรียบได้กับการเรียนวิชาชีวเคมี (Biochemistry) ของแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้ง ๓ ส่วนนี้เมื่อเข้าใจอย่างแท้จริงจะทำให้ทราบสภาวะปกติของมนุษย์ เมื่อต้องไปตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยก็จะแยกปกติกับผิดปกติได้ง่ายขึ้น
ขันธ์ (Group) แปลว่า กอง หมวด หมู่ หรือส่วน ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ร่างกายมนุษย์ ที่แบ่งร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน หรือ 5 กอง คือ
๑.รูป (body)ได้แก่ รูปปรมัตถ์ ที่มีการสลายแปรปรวนไปเป็นปกติ เป็นสิ่งที่รับรู้อารมณ์ใดๆไม่ได้ มีทั้งหมด ๒๘ รูป เกิดจากกรรม จิต อุตุและอาหาร แบ่งเป็นมหาภูตรูป ๔ เป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานและเป็นที่อาศัยแก่รูปอื่นๆที่เหลือ คือ อุปาทายรูป ๒๔ ดังนั้น เวลาพูดถึงรูปจึงเน้นที่ส่วนผสมกันของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟซึ่งเป็นมหาภูตรูป และมักจะรวมช่องว่างต่างๆในร่างกายหรืออากาศธาตุด้วย รวมเรียกว่า เบญจมหาภูตรูป ซึ่งเป็นสหชาตธรรมคือ การร่วมกันเสมอทั้ง ๔ ธาตุ
๒.เวทนา (Feeling)ได้แก่ ระบบประมวลความรู้สึกว่า ชอบหรือไม่ชอบ และ เฉยๆ เป็นความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรือ อทุกขเวทนา อสุขเวทนา เป็นกลางๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์ )
๓.สัญญา (Memory, Perception)ได้แก่ จำสิ่งที่ได้รับและรู้สึกนั้นๆ เป็นส่วนของความทรงจำแห่งใจ หรือความจำหมาย
๔.สังขาร (Thoughts)ได้แก่ ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่รับรู้สึกและจำได้ เป็นส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฏของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่าง ๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ความยินดี ความพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง
๕.วิญญาณ (Consciousness) ได้แก่ ระบบรู้สิ่งนั้นๆ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ ปสาทรูป ๕ (จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย) เป็นการรับรู้อายตนะภายนอก (sense objects) คือ รูป (forms) เสียง (sounds) กลิ่น (smells) รส (tastes) โผฏฐัพพะ (tactile sensations) และธรรมารมณ์ แบ่งเป็น ๖ กลุ่ม คือ
- จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา คือรู้รูปด้วยตา หรือการเห็น
- โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู คือรู้เสียงด้วยหู หรือการได้ยิน
- ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก คือ รู้กลิ่นด้วยจมูก หรือการได้กลิ่น
- ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น คือรู้รสด้วยลิ้น หรือการรู้รส
- กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย คือรู้โผฏฐัพพะด้วยกาย หรือ การรู้สึกกายสัมผัส
- มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ คือรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ หรือการนึกคิด
เมื่อจัดกลุ่มขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์ จะได้ ๓ กลุ่ม คือ
๑)วิญญาณขันธ์ จัดเป็น “จิต”
๒)เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ จัดเป็น“เจตสิก” (คำว่า “เจตสิก แปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ จิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่)
๓)รูปขันธ์ จัดเป็น “รูป”
เมื่อเรียนรู้ร่างกายมนุษย์ที่ปกติ (สถานัม) แล้วก็จะต้องเรียนรู้อาการ (Symptom)และอาการแสดง (Sign) ที่ผิดปกติ เรียกว่าวิชาอาการวิทยา (Symptomatology) ให้ทราบว่า อาการ/อาการแสดงที่เกิดกับผู้ป่วยมาจากความผิดปกติหรือวิปลาส (กำเริบ หย่อน พิการ) ของธาตุใด เกิดพยาธิสภาพที่ใด และมาจากกลไกกำกับการทำงานใดที่ผิดปกติหรือตรีธาตุวิปริต (กำเริบ หย่อน พิการ) หรือ ตรีโทษ
พิเชฐ บัญญัติ, พ.บ., พท.บ., ส.บ.
เลขาธิการสมาคมเวชกรรมไทย
ไม่มีความเห็น