“พ่อจ๋า พรุ่งนี้เช้าออกไปซื้อของกินหน่อยสิ แม่ไม่อยากตื่นมาทำกับข้าว” เมียบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานกว่าปกติ
“ได้สิ” หึหึ ในบางช่วงเวลาเมื่อหัวถึงหมอน ไฟหัวเตียงถูกหรี่ลง อากาศกำลังเย็นสบายได้ที่ การซุกตัวในผ้าห่มแลัวมีผมยุ่งๆของเมียมาอยู่ที่ซอกรักแร้นี่ ผมว่ามันคือสวรรค์ ดังนั้นคำว่า “ได้สิ” จึงออกมาก่อนที่จะมีคำถามตามมาว่า “จะกินอะไร”
แต่ผมเลือกที่จะไม่ถาม เพราะการร้องขอแบบนี้ นั่นเป็นเพราะเธอไม่อยากเป็นศิลปินมื้อเช้า ดังนั้น ก็ขออย่าให้ต้องคิด
เช้าวันนี้ผมจึงเลือกเมนูเองคนเดียว
ตื่นมาทักทายสมาชิกปลาคาร์พฝูงใหม่ทั้ง ๔ ตัว ที่น้องจ้าตั้งชื่อให้แสนจะไพเราะ
“กนกอร กรกนก กชมน และ กชกร”
ขับรถออกมาจอดแถวๆข้างโรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ อันที่จริงผมอยากปั่นจักรยานมานะ แต่มันถูกผมทอดทิ้งมานานจนยางแบนติดพื้นธรณีอยู่พักหนึ่งแล้ว ยังดีที่มันยังไม่ถูก “ธรณีสูบ” ที เลยยังคงได้เห็นหน้ากันอยู่
เช้านี้ผมอยากกิน “นาซิ ดาแฆ”
ข้าวมันและแกงกะทิ
แกงที่ผมเลือกคือแกงปลาโอ ใส่ไข่ต้ม และพริกชี้ฟ้า ส่วนข้าวมันนั้น ผมเห็นเขาใส่เครื่องเทศสักอย่างที่มีเม็ดขนาดเล็ก และโรยหน้าด้วยมะพร้าวคั่วรสหวานพอติดลิ้น
ปลาโอและปลามากุโร่ เป็นพี่น้องกัน ตัวแรกนั้นในอ่าวไทยมีเพียบ ราคาถูก เพราะเป็นปลาพื้นบ้าน ตัวหลังนั้นเป็นปลานานาชาติ ซึ่งแค่เพียงเนื้อดิบคำเดียวก็ยังมีมูลค่ามากกว่าปลาโอท่อนหางใส่ไข่ต้มที่ผมซื้อมาเสียอีก
“๓๕ บาทจ๊ะ” กะห์คนขายทอนเงินมาให้ผม ๑๕ บาท
แต่เอาเหอะ ผมว่านาซิ ดาแฆ ที่ผมได้กินเช้านี้มันอร่อย อร่อยเหมือนกับที่ได้กินที่นราธิวาสเมื่อปีที่แล้ว ผมนึกในใจ นี่หากเปลี่ยนจากพริกชี้ฟ้ามาเป็นกระเจี๊ยบฝักเขียว มันน่าจะเจ๋งกว่านี้มากนัก
ผมมาลองนึก หากเราเปลี่ยนวันถุดิบ นอกจากใส่กระเจี๊ยบเขียวแล้ว ใส่ปลามากุโร่แทนปลาโอ ราคาของนาซิ ดาแฆ จะเพิ่มมากกว่านี้ขึ้นสักเท่าไหร่ หรือท้ายที่สุด อาจจะไม่มีคนกิน เพราะราคามันแพงไป หรือมันจะไม่ใช่นาซิ ดาแฆ เพราะมากุโร่มันไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรกับเมนูพื้นบ้านอายุยาวนานนับร้อยปีเช่นนี้
ใช่ครับ ของบางอย่างอาจจะใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ ของบางอย่างอยู่ที่หนึ่งดูดี แต่ในอีกที่อาจจะเป็นสิ่งแปลกปลอม
เอ๊ะ...ผมกำลังหมายถึงอะไร
ธนพันธ์ ชูบุญหมายถึงนาซิดาแฆน่ะสิ
๓๑ สค ๖๒
ไม่มีความเห็น