การพัฒนาเด็กปฐมวัยของ Unicef Thailand “เด็กอายุ 0-5 ปีทุกคนได้รับการดูแลที่เหมาะสมตามวัย ผ่านศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพ และสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูที่ได้รับความคุ้มครองจากครอบครัว...แต่ในประเทศไทยมีเด็กปฐมวัยจำนวนมากที่่ขาดการดูแลและการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสม ผู้ปกครองจำนวนมาก โดยเฉพาะพ่อ ยังขาดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้กับลูกเล็ก”
นักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทอย่างไรในประเด็นนี้ ? คลิกเรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
•เพิ่มความภาคภูมิใจในการทำกิจกรรมการดูแลตนเอง เช่น หัดแปรงฟันบ้วนปาก หัดแต่งตัวเอง หัดเช็ดก้นหลังอึ ช่วยผูกเชือก ช่วยติดกระดุมบนสุด ฯลฯ
•เพิ่มทักษะการเขียนผ่านการรับรู้สึกด้านการมองเห็นและการเคลื่อนไหวสหสัมพันธ์ของร่างกาย
•เพิ่มทักษะการเรียนรู้เพื่อแสดงอารมณ์สังคมให้สมวัยท่ามกลางการสื่อสารคิดบวกจากพ่อแม่ครู
Reskills แนวทางเพื่อเรียนรู้ทักษะทำอย่างไรในประเด็นนี้ ? คลิกเรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
- ในเด็กโต 3-5 เราจะชวนผู้ปกครองประเมิน “ความพร้อมก่อนวัยเรียน” ได้แก่ ฝึกอึฉี่ที่สุขาได้เอง อยู่แยกจากพ่อแม่ได้ 2-3 ชม.โดยไม่วิตกกังวล เล่นกับเพื่อนได้บ้าง งีบพัก 2-3 ชม.ได้ สื่อความหมายได้เข้าใจกับครูและเพื่อนโดยไม่คับข้องใจ ฟังและทำตามคำแนะนำของครูได้บ้าง ถ้า “ยังไม่พร้อม” ปรึกษาคุณหมอและนักบำบัด
- ประโยชน์ของอนุบาลคือ เด็กได้เรียนรู้การเขียนชื่อและตัวอักษรเป็นระบบ (มีตารางเรียน มีระเบียบวินัย ทำตามคำแนะนำครู) บ่มเพาะทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียนรู้การทานของว่างกับเข้าสุขาเองโดยไม่มีพ่อแม่ช่วย มีกิจกรรมทางกายเป็นกิจวัตรประจำวันมากขึ้น
- ภาษาเปิดใจของลูกน้อย คือ ท่าทางผ่อนคลาย หายใจสบาย ไม่กอดอก แบมือ สบตา ไม่จ้องเขม็ง พยักหน้าเข้าใจได้ ยิ้มน่ารัก เอียงเข้าหา ขยับมือขณะพูด
- ภาษาเครียดลบของลูกน้อย คือ ตัวแข็ง ขมวดคิ้ว เขย่าตัว กุมมือบนโต๊ะ กอดอก มือแตะปาก มือเท้าคาง หมุนของในมือ หาว พูดแทรก สีหน้าเบื่อทนฟัง หันเหความสนใจง่าย เอียงตัวออกไปไกล ตาดูไม่เป็นประกาย ลูกตาหดตัวพร้อมเขย่าหัว หน้าบึ้ง หน้ามุ้ย
- ฝึกนอนหัวค่ำ 11 ชม. ตื่นเช้า 6-7 โมง + นอนกลางวัน 1 ชม. อาหารว่าง 1-2 มื้อ ในเด็ก 1-3 ปี เพิ่มความจำ คลายเครียด อารมณ์ดี กินดี พูดว่า “ถึงเวลาซ่อนตาดำแล้ว ไม่บังคับว่า “นอนได้แล้ว” เพื่อหัดกฎระเบียบ
- เด็ก 3-5 ปี ต้องการความสงบผ่อนคลาย ชวนอิสระฟังผู้ใหญ่เล่านิทาน การเล่นละครนิทานมือสร้างได้ การฟังดนตรีเบาๆ เปิดเพลงนิทาน เล่นดนตรี ปั้นดิน วาดรูปเงียบๆ เล่นทราย เล่นน้ำพุ และเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ปรับไฟปิดม่าน ให้เด็กเป็นคนเลือกระหว่างทำกิจกรรมกับการนอนอิสระ ค่อยๆ เพิ่มเวลาจาก 20 นาทีจนถึง 60 นาที
- สังเกตว่า “เด็กต้องการพักผ่อนเมื่อ บ่นไม่ยอมนอน...เอนตัวก็หลับ สมาธิน้อยลง เรื่องถนัดก็ทำไม่ได้ งัวเงีย งอแง หาว ขยี้ตา เบลอ ดูเหม่อลอย ร้องไห้ง่าย อาละวาด ทรงตัวยาก หกล้ม”
- หลังอาหาร ใช้เวลา 10 นาที พักผ่อนกำแพงสวนกินได้และสวนแนวตั้งในพื้นที่จำกัด ฟังดนตรีในสวนหย่อม
- การเปิดมุมระบายความในใจกับเพื่อนที่ไว้ใจ 1 คน ผลัดกันเล่าคนละ 5 นาที บอกขอบคุณ และพูดให้อภัยคนที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ (จะต่อหน้าหรือไม่ก็ได้)
- ชวนครูสร้างพื้นที่ทำความดีมีสุขกับเด็ก ๆ เช่น ช่วยกันปลูกต้นไม้คลายเครียด ช่วยกันทำอาหารสุขภาพ
- ปล่อยให้เด็กและครูวาดรูปและ/หรือเขียนอิสระบนกระดาษ/กระดานแผ่นใหญ่ อาทิตย์ละครั้ง
- ปล่อยให้เด็กและครูเล่นวางสิ่งต่าง ๆ บนกระบะทราย สร้างนิทานทำมือแล้วนำมาเล่าดังๆ อาทิตย์ละครั้ง
- อบรมอาชีพเสริมงานประจำและเรียนรู้การออมเงินเพื่อวางแผนสุขภาวะทางเศรษฐกิจครอบครัวระยะยาว
- เพิ่มกิจกรรมฝึกหายใจเข้า-ค้าง-ออกยาวๆ 4 รอบ ฝึกเกร็งคลายกล้ามเนื้อตามลำดับ ฝึกเคาะอารมณ์ ก่อนเลิกงานสัก 10 นาที
- การปล่อยร่างกายให้ได้นั่งเก้าอี้โยก การเล่นดนตรีร้องเพลงเบาๆ การกอดเด็กทีละคนก่อนให้เด็กเข้าห้องเรียน การเดินวนรอบห้องช้า ๆ ขณะฟังเสียงเปียโน การได้นอนผ่อนพักตระหนักรู้รวมกันครูกับเด็ก
- คลิกเรียนรู้กิจกรรมบำบัดจัดการอารมณ์ตึงเครียดได้ที่ลิงค์นี้
Upskilling การเพิ่มทักษะทำอย่างไรในประเด็นนี้ ? คลิกเรียนรู้เพิ่มเติมที่แอพพลิเคชั่น theAsianparent Community
- ประเมินเด็กขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก มีระยะห่าง เราควรแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงเบาช้า สัมผัสเบาๆจนคุ้น
- วัยเดินได้ เราควรคุยระดับเดียวกับเด็ก สบตา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บอกล่วงหน้าว่าถ้าอุ้มเด็กๆ จะร้องจะไม่ทำให้คนอุ้มรู้สึกแย่ บอกว่า “ลูกไม่ต้องกลัว คนนี้แม่รู้จัก” ให้จับมือเล่น ยิ้มทักทาย ไม่อุ้มทันที
- ถ้าเด็กร้องไห้ไม่หยุด พาออกจากจุดนั้น ไม่ฝืน ไม่ปล่อย ไม่ดุ ยิ่งดุเด็ก ยิ่งทำให้เด็กกลัวไม่มั่นใจ
- ค่อยๆ ให้เด็กเผชิญความกลัวทีละเล็กทีละน้อย พาไปที่เห็นคนมากมาย ทำกิจกรรมที่ลูกชอบในพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ และสนามเด็กเล่น
- พ่อแม่ครูอดทนรอคอยให้เวลากับลูก ๆ วัย 6-7 เดือนกลัวคนแปลกหน้า วัย 7-8 เดือนจะเริ่มสนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น แยกพ่อแม่กับคนไม่รู้จัก ร้องไห้หันหน้าหนี เกาะเข้าหาแม่ วิ่งหลบหลังแม่ ไม่สบตา ถือเป็นพัฒนาการสมวัย
- ถ้ามีวิตกกังวลคนแปลกหน้ามากขึ้น อาจเกิดจากพื้นอารมณ์ปรับตัวช้า และ/หรือ พันธุกรรมพ่อ/แม่พูดน้อยและขี้อาย เลี้ยงแบบปกป้องเกินไป ห้ามทำโน่นนี่ พ่อแม่แยกทางกัน อุบัติเหตุ/นอนรพ.นาน โดนขู่ในสิ่งที่กลัวบ่อย “ถ้าไม่กินข้าว จะให้หมอฉีดยา”
- ประเมินดูว่าเด็กกลัวอะไร ไม่พูดไม่บังคับดุว่า “ทำไมถึงกลัว ไม่เห็นจะน่ากลัว พร้อมผลักห่างตัวไปสิ่งที่กลัว”
- ให้กอดหรืออุ้มก้าวเดินข้างๆ ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดเบี่ยงเบนความสนใจ อธิบายลูกให้เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
เช่น เวลาพาลูกไปหาหมอ บอกว่า “ฉีดยาจะเจ็บยังไง (อย่าบอกว่าไม่เจ็บ) แม่มั่นใจว่าลูกทำได้แน่นอน”
- พ่อแม่ครูควรหานิทานสอนการเผชิญความกลัวให้ลูกได้อ่าน อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงวิธีต่อสู้กับความกลัวภายในจิตใจ
- หากลูกต้องเผชิญความกลัว ลองให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยไม่บังคับลูก
- ให้เด็กได้ลองถือของไม่หนัก การข้ามถนนอย่างปลอดภัย การหยิบจับสิ่งของอย่างปลอดภัย
- ถามเด็กว่ามีความชอบหรือไม่ชอบในกิจวัตรประจำวัน ผู้ใหญ่สาธิตทำตามกฎกติกามารยาท มีวินัย รู้ผิดชอบชั่วดี ผู้ใหญ่เล่นพร้อมเด็ก เป็นต้นแบบความอดทนพยายามทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ เช่น เดินทางไกลรอบรร. ปลูกต้นไม้เล็ก ๆ มีเล่นปีนป่ายออกแรง สร้างสมดุลบ่มนิสัยพอใจระหว่าง “ยอมรับกติกาให้ความร่วมมือ” กับ “อิสระ”
- ผู้ใหญ่ควรขอร้องให้เด็กช่วยเหลือในสิ่งที่มีความสามารถ หัดบ้วนปากหลังทานนม หัดเช็ดก้นหลังอึฉี่ ฝึกผูกเชือก ฝึกแปรงฟัน แต่งตัวเอง หัดอาบน้ำ หัดติดกระดุม หัดทานปลา-ไข่-หมู-ถ้าเลือกกิน ให้ชดเชยนม-ถั่ว
- ถามเด็กให้มีเหตุผล ชวนทดลองฟัง ถาม สัมผัส ลองมือทำ คิดแก้ปัญหา ไม่ทำแทนทันที ให้เวลาวิ่งซน ปีนป่าย ออกแรง การฝึกทักษะการรับรู้ด้านการมองกับการใช้มือจับดินสอนเขียนเส้นรูปร่างต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
- ชวนเด็กให้ตั้งใจทำของเล่นด้วยตัวเองเสริมจินตนาการ ฝึกให้เด็กเข้าใจศัพท์นำมาเรียงประโยคอย่างง่าย ฝึกอ่านเขียนชื่อตัวเอง การใช้หนังสือภาพ