ในการศึกษาประวัติศาสตร์นั้น ที่กล่าวว่าไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถศึกษาได้ เพราะว่าการศึกษาประวัติศาสตร์หากมีอคติหรือความลำเอียง ประวัติศาสตร์ในช่วงตรงนั้นจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ออกมาจากความเป็นจริง ดังนั้นเขาจึงบอกว่า ผู้ที่จะศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ คือ
1) มีความเป็นกลาง ถ้าไม่เป็นกลางเราจะมีความเป็นอคติ เราจะไปคาดเดาที่เห็นแก่ตัวเอง
2) ต้องมีความคิดที่เป็นประวัติศาสตร์ ถ้าหากเราจะคิดเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์ เราจะไปคิดเรื่องที่ก้าวหน้ามากจนเกินไปก็ไม่ได้
3) ต้องมีความถูกต้องแม่นยำ ต้องมีการตรวจสอบซ้ำ เช่นดูจากในหนังสือ ดูจากในเอกสารอ้างอิงแล้ว อาจจะไปดูจากของจริงในพื้นที่ เพราะฉะนั้นเมื่อพอเปรียบเทียบหรือไปดูหลายๆ ที่ร่วมกันแล้ว เราก็สามารถที่จะบอกได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพราะว่าข้อมูลที่ได้สามารถไปชี้นำแนวทางความคิดของคนในชาติได้เลยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะมีคุณค่ามหาศาลเลยสำหรับนักประวัติศาสตร์ต่างๆ ซึ่งเขาจะมีการจัดเก็บมีการบันทึกข้อมูล อย่างเช่น ผมมีความสนใจเรื่องนี้เพราะผมชอบเอาปีพุทธศักราชมาเรียงกัน แล้วเราก็ดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไร มีท่านหนึ่งเคยได้ให้หนังสือผมมา 2 เล่ม เป็นหนังสือที่เรียบเรียงปีคริสตศักราชและเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ผมอ่านแล้วก็คิดว่า เออ ก็ดีเหมือนกันทำให้เราได้เห็นว่าระเบียบความคิดที่เขาได้มีการจัดเก็บข้อมูลมีความเป็นระบบระเบียบดี
4) มีการลำดับงานที่เป็นตระกะ อย่างที่ผมได้พูดเมื่อข้างต้นว่ามีการเรียบลำดับเหตุการณ์ตามห่วงเวลา ต้องมีตระกะที่มีนัยสำคัญอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น
5) ต้องมีความซื่อสัตย์ที่จะแสดวงหาข้อมูลข้อเท็จจริงให้พบให้ได้ มิใช่ทำแบบฉาบฉวยไปเรื่อยๆ เพื่อให้จบ
6) ต้องมีความระมัดระวังในการใช้หลักฐาน เพราะหลักฐานนั้นจะต้องเป็นหลักฐานจริง ไม่ใช่หลักฐานเท็จ
7) ต้องมีจินตนาการด้วย ใครคิดคับแคบก็ไม่ได้ ต้องมีจินตนาการ พูดง่ายๆ ว่าพอศึกษาไปแล้วสามารถหลับตาแล้วนึกถึงภาพได้ว่าเป็นอย่างไร
เหล่านี้ก็เป็นคุณสมบัติหลายอย่างที่สำคัญที่ผู้ที่จะเรียนเป็นนักประวัติศาสตร์จะต้องมีไม่ใช่ว่าใครๆ ก็อยากเป็นได้ ผมว่าจะต้องมาจากใจด้วย ที่อยากจะศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์เหล่านี้อย่างจริงจัง
ไม่มีความเห็น