กักตัวอยู่กับบ้านตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด มีเวลาได้อ่านหนังสือหลายเล่ม
“ประวัติการศึกษาไทย” ของอาจารย์พงศ์อินทร์ ศุขขจร อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน ซึ่งท่านเขียนเล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้ เมื่อพ.ศ.2512 ทำให้เข้าใจเรื่องการศึกษาบ้านเราได้มากขึ้น ผมเกรงว่าหนังสือเล่มนี้จะสูญหายไป ก็เลยนำข้อเขียนของท่านมาแบ่งปันกันอ่าน โดยเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ และแบ่งเป็นตอนๆไปครับ
--------------------------------------
เมื่อจำนวนโรงเรียนมีมากขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องควบคุมและตรวจตาให้การเรียนการสอนดำเนินไปด้วยดีและอยู่ในแบบแผนเดียวกันก็เกิดขึ้น แต่เดิมมาโรงเรียนอยู่ในสังกัดกรมทหารมหาดเล็ก ซึ่งมีหน้าที่ไปทางเรื่องราวของทหารโดยตรง เป็นการที่ไม่เหมาะสม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจึงโปรดให้ตั้งกรมซึ่งมีหน้าที่จัดการศึกษาโดยเฉพาะขึ้นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2430 มีชื่อว่า กรมศึกษาธิการ พระองค์เจ้าดิศวรกุมารซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมทรงพระนามว่า กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็นผู้บัญชาการกรมอีกตำแหน่งหนึ่งตามประกาศดังต่อไปนี้
“มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศจงทราบทั่วกัน การเล่าเรียนวิชาเป็นการสำคัญของราชการบ้านเมือง แต่ก่อนมา ยังหาได้จัดตั้งขึ้นเป็นแบบแผนให้แพร่หลายและยังหาได้มีเจ้าพนักงานสำหรับบังคับบัญชาราชการฝ่ายการเล่าเรียนทั้งปวงไม่ บัดนี้ได้ทรงทำนุบำรุงการเล่าเรียนให้เป็นแบบอย่างเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้มาก และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเจ้าพนักงานรับกระแสพระราชดำริจัดการนั้นตลอดมา เมื่อการเล่าเรียนเจริญขึ้นผู้ซึ่งรับราชการในการเล่าเรียน คือ เจ้าพนักงานสำหรับบังคับจัดการเล่าเรียน และอาจารย์ผู้ฝึกสอนวิชาเป็นต้นนั้นก็มีมากขึ้นโดยลำดับ ผู้ซึ่งรับราชการในตำแหน่งการทั้งปวงเหล่านี้ ก็เป็นข้าราชการรับราชการแผ่นดินฉลองพระเดชพระคุณในส่วนหนึ่งเหมือนกับข้าราชการกรมหมื่นอื่นแต่ยังหาได้มีตำแหน่งในราชการไม่เพราะราชการฝ่ายการเล่าเรียนยังไม่ได้ตั้งสังกัดขึ้นเป็นกรมหนึ่งเหมือนกับประเทศอื่นๆ บัดนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานซึ่งสำหรับจัดการเล่าเรียนทั้งปวง รวมเป็นกลุ่มหนึ่งเรียกว่ากรมศึกษาธิการ ซึ่งผู้ได้รับกระแสพระราชดำริเป็นหัวหน้าพนักงานจัดการเล่าเรียนเป็นตำแหน่งข้าหลวงผู้บัญชาการศึกษา และให้ผู้ซึ่งได้รับราชการในพนักงานจัดการเล่าเรียนทั้งปวงสังกัดขึ้นอยู่ในกลุ่มศึกษาธิการตามตำแหน่งซึ่งได้รับราชการนั้นทุกคน ให้กรมศึกษาธิการนี้เป็นกรมหนึ่งในราชการฝ่ายพลเรือนเหมือนกับกลุ่มอื่นๆสืบไปประกาศมา ณ วันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำปีกุน นพศกจุลศักราช 1219 (พ.ศ. 2430)”
ยังมีกรมที่มีชื่อเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกรมศึกษาธิการอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง คือ กรมธรรมการ และภายหลังเมื่อกรมมีฐานะเป็นกระทรวงขึ้นแล้ว ก็เปลี่ยนเรียกชื่อระหว่าง 2 ชื่อนี้กลับไปกลับมาหลายครั้ง บางสมัยเป็นกระทรวงธรรมการ บางสมัยเป็นกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2435 กระทรวงธรรมการ พ.ศ. 2462 เป็นกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2469 เป็นกระทรวงธรรมการ พ.ศ. 2484 เป็นกระทรวงศึกษาธิการ) ความจริงกรมธรรมการนี้ เดิมเรียกว่ากรมธรรมการสังฆการี เป็นส่วนราชการที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น หัวหน้ากลุ่มมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพระเสด็จหรือออกญาพระเสด็จเป็นตำแหน่งสูงขนาดรองเสนาบดีจตุสดมภ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีพระบรมมาราชาธิบายเกี่ยวกับกรมธรรมการสังฆการีไว้ดังนี้
“กรมธรรมสังฆการีนี้ ตามตำแหน่งเดิมเป็นกลุ่มใหญ่ได้ตั้งกลุ่มมาทำการหัวเมืองว่าความพระสงฆ์ ต่อพระสงฆ์ หรือพระสงฆ์เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ไม่ว่าความอย่างใด อำนาจของกรมธรรมการที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ไม่สู้ผิดกันกับแต่ก่อนมากนัก เป็นแต่ไม่มีอำนาจที่จะตั้งธรรมการหัวเมือง ขาดไปพร้อมกับกรมหมื่นอื่นๆ แต่ธรรมการหัวเมืองก็ยังมีหนังสือบอกข่าวคราวเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างพระสงฆ์หัวเมืองบ้างน้อยๆ ราย แต่กรมธรรมการมักจะได้พูดจากับพระสงฆ์เจ้าคณะตามหัวเมืองนั้นเองเสียโดยมาก ถ้าเจ้าเมืองกรมการเมืองใดจะขอตั้งเจ้าคณะหัวเมืองก็ยังมีใบบอกมาที่กรมธรรมการนั้นด้วย คงอยู่อย่างแต่ก่อน แต่ตำแหน่งใหญ่คือที่พระยาพระเสด็จนั้นไม่ได้ตั้งมาเสียช้านาน โดยผู้ซึ่งจะเป็นคนนั่งในตำแหน่งธรรมการนี้ ดูเหมือนจะต้องใช้ผู้สนัดในทางวัดๆ ผู้ซึ่งสนัดในทางวัดๆ เช่นนั้นก็คงจะต้องใช้คนที่เป็นคนบวชอยู่นาน เร่อร่า งุ่มง่ามไปไม่สมควรเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จึงได้ลดตำแหน่ง มีศักดินาน้อยลง คงใช้เจ้านายไปกำกับอยู่เสมอมา ส่วนกรมราชบัณฑิตซึ่งดูเหมือนหน้าที่จะรวมอยู่ในกรมธรรมการ ก็แยกไปเป็นกรมหนึ่งต่างหากไม่เกี่ยวข้องกัน กรมธรรมการมีแต่จะว่าความพระสงฆ์อย่างเดียว กรมราชบัณฑิตมีหน้าที่ที่จะบอกหนังสือพระสงฆ์แยกไปส่วนหนึ่ง มีหน้าที่ร่วมกัน แต่ในเวลาพระสงฆ์มาแปลพระปริยัติ ต้องเป็นผู้มากำกับตรวจตราด้วยกันทั้งสองกรม ถ้าจะว่าตามความคิดที่แบ่งตำแหน่งอย่างต่างประเทศ กรมสังฆการีเป็นกรมธรรมการหรือกรมศาสนา กรมราชบัณฑิตเป็นกรมศึกษาธิการ ควรที่จะอยู่รวมอยู่ ด้วยกันแผนกหนึ่งได้ และการสั่งสอนวิชาหนังสือไทยนั้น ธรรมเนียมในเมืองไทยนี่ก็อาศัยเรียนในวัดเป็นที่ตั้งแต่โบราณมา แต่ผู้ปกครองแผ่นดินหาได้จัดการอุดหนุนอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ จนตกมาภายหลังจึงได้เกิดบอกหนังสือโรงทานขึ้น แต่การที่บอกหนังสือโรงทานเป็นแต่ส่วนพระราชกุศล ซึ่งจะให้พร้อมบริบูรณ์ในทานเฉพาะพระราชกุศลอย่างเดียว ไม่ได้เป็นการมุ่งหมายที่จะสั่งสอนคนไทยทั้งปวงทั่วไป...”
เมื่อ พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ทรงปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการบริหารส่วนกลางเสีย โดยยกเลิกการบริหารราชการแบบจตุสดมภ์ทั้งหมด ตลอดตำแหน่งสมุหนายกและสมุหกลาโหม ตั้งขึ้นเป็นตำแหน่งเสนาบดีต่างๆ รวม 12 ตำแหน่ง มี มหาดไทย กลาโหม (ทั้งสองนี้ไม่ได้เรียกว่ากรมหรือกระทรวงแต่อย่างใด เพราะเป็นส่วนราชการที่ยุบเลิกมาจากตำแหน่งสมุหกลาโหม และสมุหนายกซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์) กรมท่า กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง กรมนา กรมยุทธนาธิการ กรมยุติธรรม กรมธรรมการ กรมโยธาธิการ และกรมราชมุรธาธร ในตอนระยะแรกเริ่มจะแบ่งส่วนราชการใหม่ โปรดให้ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีอยู่แล้ว และผู้ที่จะทรงแต่งตั้งขึ้นใหม่เข้าร่วมประชุมกันเป็นประจำสัปดาห์ พระองค์ทรงเป็นประธาน เรียกว่าที่ประชุมเสนาบดี
เมื่อทรงตั้งที่ประชุมเสนาบดีขึ้นแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งหัวหน้ากรมธรรมการแต่ตำแหน่งเดียว กรมธรรมการจึงมีลักษณะเป็นกระทรวงมาตั้งแต่พ.ศ. 2432 เว้นแต่ยังไม่ได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นกระทรวงเท่านั้น
ไม่มีความเห็น