กักตัวอยู่กับบ้านตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด มีเวลาได้อ่านหนังสือหลายเล่ม
“ประวัติการศึกษาไทย” ของอาจารย์พงศ์อินทร์ ศุขขจร อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน ซึ่งท่านเขียนเล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้เมื่อ พ.ศ.2512 ทำให้เข้าใจเรื่องการศึกษาบ้านเราได้มากขึ้น ผมเกรงว่าหนังสือเล่มนี้จะสูญหายไป ก็เลยนำข้อเขียนของท่านมาแบ่งปันกันอ่าน โดยเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ และแบ่งเป็นตอนๆไปครับ
--------------------------------------
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จกลับจากประพาสชวา พ.ศ. 2413 ได้โปรดให้ช่างสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่ศาลาสหทัย ข้างประตูพิมานชัยศรี ถ่ายแบบมาจากสโมสร นายทหารที่เมืองปัตตาเวีย ซึ่งมีชื่อว่าคองคอเดีย เลยเรียกชื่อว่าหอคองคอเดียด้วยเหมือนกัน ใช้เป็นที่สำหรับประชุมเป็นครั้งคราว ณ ที่นี้ ต่อมาภายหลังได้จัดให้มีการตั้งแสดงสิ่งของโบราณหรือของที่หาดูได้ยาก เช่น เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์และของที่แปลกประหลาดอื่นๆ เปิดให้ประชาชนเข้าชมในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นเวลานานถึง 3 เดือน เสร็จแล้วก็ให้นำไปเก็บไว้ ณ ที่เดิม การแสดงแบบนี้ปรากฏว่าประชาชนสนใจเข้าชมกันมาก จึงโปรดให้จัด ขึ้นเป็นประจำเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี นอกจากนั้นยังได้ประกาศให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการพ่อค้าประชาชน ร่วมมือจัดนำวัสดุสิ่งของที่ประหลาดเช่นศิลปะวัตถุหรือสิ่งของที่งดงามอื่นๆมาร่วมการแสดง และพระราชทานรางวัลให้เจ้าของที่มีศิลปะวัตถุที่มีความงามความแปลกประหลาด หรือมีคุณค่าเป็นเยี่ยมอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากบางตอนของพระบรมราชโองการ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันดังนี้
“…ของที่ควรจะมาตั้งนั้น คือเครื่องทองรูปพรรณเก่าใหม่ต่างๆ ซึ่งเป็นฝีมือช่างอย่างดีในเขต แคว้นพระราชอาณาจักรกรุงสยาม กับผ้านุ่งห่มต่างๆ ที่เป็นฝีมือช่างชาวสยามทำขึ้น แลผ้าที่ส่งตัวอย่างออกไปให้ทำเข้ามาแต่ประเทศอินเดียคือ ผ้ายกไหม ผ้ายกทอง แลแพร แลผ้าไหมสี ผ้าลายสีแลดอกดวงต่างๆ ซึ่งเป็นชั้นเก่า กับเครื่องหล่อ เครื่องปั้น และเครื่องกลึง แกะสลัก และรูปเขียนซึ่งเป็นฝีมือช่างที่ดีในประเทศสยาม ก็ควรจะเอามาตั้งได้ และเครื่องพลอยหัวแหวนต่างๆที่เกิดในประเทศเขตเมืองไทย กับเครื่องที่ประดับมุก เป็นรูปพรรณต่างๆ ให้คัดเลือกเอามาแต่ที่มีฝีมือช่างอย่างเอก แลกะละปังหาสีขาว แดง ดำ ที่เกิดในอ่าวสยามทั้งต้น แลทำเป็นรูปพรรณต่างๆ แลเครื่องอาวุธ หอก ดาบ มีรูปต่างๆ ที่เป็นฝีมือช่างเมืองไทยทำเรียบร้อยสนิทดี ก็ควรจะเอามาตั้งในที่ประชุม ผู้หนึ่งผู้ใดมีของตลาดที่จะเอามาตั้งในหอ มิวเซียมนี้ ขอให้เอามา ณ วันพุธ เดือนสิบ แรมสามค่ำ...”
จนถึงพ.ศ. 2423 โปรดให้นายอาลบาสเตอร์ ชาวอังกฤษ ซึ่งรับราชการเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้จัดตั้ง มิวเซียมขึ้นที่หอคองคอเดียเป็นมิวเซียมถาวร เปิดให้ประชาชนเข้าชมในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พิพิธภัณฑสถานยังคงขึ้นอยู่ในกรมทหารมหาดเล็กเรื่อยมาจนถึงพ.ศ. 2430 ต่อมาเมื่อกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคตแล้ว ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงโปรดให้ย้ายพิพิธภัณฑสถานจากหอคองคอเดียมาตั้งในพระราชวังบวรฯ ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย แล้วแยกออกเป็นองค์กรอิสระ โอนมาสังกัดกรมศึกษาธิการใน พ.ศ. 2432
ไม่มีความเห็น