กักตัวอยู่กับบ้านตามสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด มีเวลาได้อ่านหนังสือหลายเล่ม
“ประวัติการศึกษาไทย” ของอาจารย์พงศ์อินทร์ ศุขขจร อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูจันทรเกษม เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมได้อ่าน ซึ่งท่านเขียนเล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้เมื่อ พ.ศ.2512 ทำให้เข้าใจเรื่องการศึกษาบ้านเราได้มากขึ้น ผมเกรงว่าหนังสือเล่มนี้จะสูญหายไป ก็เลยนำข้อเขียนของท่านมาแบ่งปันกันอ่าน โดยเลือกเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆมานำเสนอ และแบ่งเป็นตอนๆไปครับ
--------------------------------------
อย่างไรก็ตามรัฐยังมีอุปสรรคในการจัดการศึกษาฝ่ายสตรี เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้ ต่อมากระทรวงศึกษาธิการจึงได้สั่งให้มณฑลต่างๆ คัดเลือกนักเรียนสตรีที่มีคุณลักษณะที่เหมาะสม ส่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯปีละ 5 คน และจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูสตรีขึ้นที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย อาศัยวังเก่าของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ เป็นที่ตั้งโรงเรียน เด็กหญิงที่ได้รับการคัดเลือกมาเข้าเรียนนั้น คัดเลือกจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 11-16 ปี ที่มีความรู้อ่านออกเขียนได้ คิดเลขได้ ถ้ายิ่งได้ชั้นประถมศึกษามาแล้วยิ่งดี มาศึกษาเล่าเรียนอีก 3-5 ปี พวกนี้เป็นนักเรียนหลวงได้ค่าอุดหนุนเดือนละ 15บาท ส่วนนักเรียนสตรีอื่นๆที่มาสมัครเรียนด้วย ก็รับเข้าเรียนโดยเสียค่ากินอยู่เดือนละ 15 บาท เช่นกัน ถ้าสำเร็จสอบได้ประกาศนียบัตรครูมูล ก็ได้เงินเดือนๆละ 30 บาท ถ้าได้ประกาศนียบัตรครูประถม ได้เดือนละ 45 บาท
ส่วนเรื่องโรงเรียนฝึกหัดครูอื่นๆซึ่งได้กล่าวมาแต่ต้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงผิดไปจากเดิมบ้าง แผนกฝึกหัดครูที่ย้ายจากโรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ไปรวมที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ได้โอนสังกัดมาขึ้นกรมศึกษาธิการตามเดิมเมื่อพ.ศ. 2461 และไปเปิดทำการสอนที่โรงเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศ เป็นแผนกฝึกหัดครูอีกแผนกหนึ่ง โรงเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศในสมัยนั้นจึงมีสองแผนกคือ แผนกสามัญและแผนกฝึกหัดครู จนถึงพ.ศ. 2475 แผนกฝึกหัดครูได้ย้ายไปตั้งที่พระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐมอยู่ได้ 2 ปีจนพ.ศ. 2477 ก็ย้ายโรงเรียนมาอยู่ในจังหวัดพระนครที่กองพันทหารราบที่6 ถนนศรีอยุธยาและย้ายข้ามฟากถนนมาอยู่ในบริเวณหลังกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ทำการคุรุสภาเดี๋ยวนี้ และครั้งสุดท้ายย้ายไปอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ในบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุ อำเภอบางเขน เมื่อพ.ศ. 2499
การฝึกหัดครูในเวลานั้นมีอยู่หลายระดับด้วยกันพอจะสรุปรวมได้ดังนี้
1. ระดับครูมัธยม(ชาย) เปิดเรียนครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2446 ที่โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ (ตึกแม้นนฤมิตรโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์แล้วย้ายไปอยู่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูฝั่งตะวันตก) ผู้ที่เป็นครูอยู่แล้วและสอบได้ประกาศนียบัตรครูมัธยมจะได้รับเงินเดือน เดือนละ 80 บาท ส่วนนักเรียนฝึกหัดครูที่สอบได้ประกาศนียบัตรจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเพียง 30 บาทเป็นเวลาหนึ่งปี ในขณะที่เป็นครูฝึกหัดหาความชำนาญ เรียกว่าเบี้ยเลี้ยงไม่เรียกเงินเดือน เมื่อพ้นหนึ่งปี จึงจะได้เงินเดือนตามวุฒิ นอกจากจะเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครูแล้ว กระทรวงศึกษาธิการยังได้เปิดการสอนวิชาครูมัธยมเคลื่อนที่สามัคยาจารย์สมาคมในเวลาเย็น โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการศึกษาและวิชาแขนงอื่นมาทำการสอน เพื่อช่วยเหลือให้ครูได้เลื่อนวิทยฐานะของตน โดยวิธีสอบชุด ต่อมาในพ.ศ. 2471 ได้วางระเบียบ การฝึกหัดครูมัธยมขึ้นใหม่โดยรับเอาชั้นประกาศนียบัตรในแผนกอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย(2 ปี)ประกอบด้วยประกาศนียบัตรวิชาครู(อีก1ปี) ของมหาวิทยาลัยเป็นเกณฑ์สำหรับวุฒิครูมัธยม
2.ระดับครูประถม (ชายและหญิง) กระทรวงศึกษาธิการได้วางระเบียบการฝึกหัดครูประถมชายขึ้นใหม่ ภายหลังที่โอนกลับมาอยู่ในสังกัดกรมศึกษาธิการแล้ว โดยขยับวุฒิของผู้ที่สมัครเข้าเป็นนักเรียนฝึกหัดครูประถมชายให้สูงขึ้น คือต้องสำเร็จประโยคครูมูล หรือสำเร็จวิชาสามัญชั้นมัธยมปีที่6 แล้วมาศึกษาในโรงเรียนฝึกหัดครูอีก 2 ปี
3. ระดับครูมูล (ชายและหญิง) ครูในระดับนี้เปิดสอนตามมณฑลต่างๆ เพื่อผลิตครูสอนในส่วนภูมิภาค ในขณะที่การศึกษาตามหัวเมืองยังไม่แพร่หลาย โรงเรียนประจำจังหวัดมีชั้นเรียนอย่างสูงเพียงแค่ชั้นมัธยมปีที่3 จึงต้องรับนักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมปีที่3 ไปศึกษาวิชาครูต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลอีก 2 ปี สำเร็จแล้วได้รับประกาศนียบัตรครูมูล ต่อมาภายหลังจึงได้มีการตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูขึ้นตามมณฑลต่างๆที่มีกำลังเงินและกำลังคนพอจะจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูมูลขึ้น ได้ดำเนินการตามระเบียบการและหลักสูตร ว่าด้วยประโยคครูมูลของกระทรวง
4. ระดับครูประกาศนียบัตรมณฑล (ชาย) ครูในระดับนี้ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนประจำมณฑล ที่มีความอัตคัดขาดแคลนในทางการเงิน หรือทางกำลังคน ยังไม่สามารถจะจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูมูลขึ้นได้ ก็จัดตั้งเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูมณฑล ใช้ระเบียบการและหลักสูตรตามความเหมาะสมและความต้องการของมณฑลนั้นๆไปพลางก่อน จนกว่าจะสามารถเปิดโรงเรียนฝึกหัดครูมูลขึ้นได้ จึงเรียกครูประเภทนี้ว่าครูประกาศนียบัตรมณฑล
5. ครูกสิกรรม (ชาย)
6. ครูหัตถกรรม (ชาย)
7. ครูวาดเขียน (ชาย)
8. ครูฝึกหัดต่างประเทศ (ชาย)
ครูกสิกรรม ครูหัตถกรรม และครูวาดเขียนเหล่านี้ มีวุฒิต่ำกว่าครูมูล ต่อมาภายหลังมีการยกระดับครูกสิกรรม ให้สูงขึ้นเทียบระดับครูประถม เพราะทางราชการเล็งเห็นว่าการกสิกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ควรจะยกระดับความรู้ของประชาชนในด้านกสิกรรมให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นมา จึงได้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมชั้นประถมขึ้นตั้งแต่พ.ศ. 2460 โดยขอให้สมุหเทศาภิบาลคัดเลือกนักเรียนจากมณฑลต่างๆส่งเข้ามาเรียนอย่างมากปีละ 2 คน
ไม่มีความเห็น