ท่านโฆษกกระทรวงต่างประเทศ จ้าว ลี่เจียน (Lijian Zhao 赵立坚) ได้ให้เกียรติติดตามทวิตเตอร์ส่วนตัวของผม นับตั้งแต่ท่านยังดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาในอัครราชทูตที่ปรึกษาจีนประจำประเทศปากีสถาน ดังในรูปด้านล่าง (ทวิตเตอร์ของผมมักมี "คนดัง" จากต่างประเทศติดตามกันมาก คงเป็นเพราะผมสนใจแต่ทวิตข่าวความเคลื่อนไหวทั่วโลกเป็นประจำ) ปัจจุบันท่านมาดำรงตำแหน่งรองปลัดกรมการข่าวสาร กระทรวงการต่างประเทศจีน (โปรดดูประวัติการทำงานของท่านจ้าวได้ที่นี่)
ท่านจ้าวเป็นหนึ่งในสามโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน อีกสองท่านคือท่าน ฮั่ว ชุนหยิง (ปลัดกรมการข่าวสาร กระทรวงการต่างประเทศจีน) และท่าน หวัง เหวินบิน (รองปลัดกรมการข่าวสาร กระทรวงการต่างประเทศจีน)
สำหรับท่านจ้าวนั้นได้รับสมญานามจากนักข่าวนักการทูตตะวันตกว่า ผู้ใช้การทูตแบบนักรบหมาป่า นี่ได้ชื่อมาจากภาพยนตร์แนวทหารหน่วยรบพิเศษที่มีความรักชาติที่ได้รับความนิยมมากในจีน การทูตแบบนี้ต้องถือว่าแผกจากธรรมเนียมการทูตเดิมที่มักใช้แนวทางแบบ "รอคอยโอกาส ซุ่มซ่อนยาวนาน" (“韬光养晦, 有所作为” หรือ “Tāo guāng yǎng huì, yǒu suǒ zuò wéi”) แต่ก็สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของจีนที่มีกำลังของชาติเพิ่มมากขึ้น จากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในจีน
สองสามวันมานี้เกิดเหตุจีนได้ส่งฝูงบินผ่านเขตน่านฟ้าไต้หวัน และสหรัฐฯ ก็ส่งกองกำลังเรือบรรทุกเครื่องบินผ่านน่านน้ำทะเลจีนใต้เช่นกัน ส่วนในรัสเซียเวลานี้ก็มีการประท้วงใหญ่เกิดขึ้นเมื่อมีการจับกุมตัวผู้นำฝ่ายค้านเข้าเรือนจำ และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่ามีการวางยาพิษจากตำรวจลับของรัสเซียอีกด้วย
จีนนั้นให้การสนับสนุนรัสเซียอย่างเต็มที่ สะท้อนว่าจีนมองสัมพันธภาพระหว่างจีนกับรัสเซียว่ามีความสำคัญ และมองระยะเวลานานในห้วงเวลาระดับสิบปีขึ้นไป แม้ว่าจะมีเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างทั้งคู่ในเขตเอเชียกลางตามประสาประเทศที่มีเขตแดนประชิดกัน
จีนเริ่มเปิดเผยออกมาแล้วว่า ต้องการให้ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินของไต้หวันลดนโยบายแข็งกร้าวและแยกตัวเป็นเอกราชออกจากจีนลง คือกลับไปยอมรับนโยบายจีนเดียว (สหรัฐฯ นั้นรับรองนโยบายจีนเดียวในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมีสนธิสัญญากับไต้หวันที่พร้อมจะเข้าช่วยเหลือและปกป้องไต้หวันจากการรุกราน)
ท่านจ้าว ลี่เจียนของผมออกมาให้สัมภาษณ์ตามสไตล์ของท่านกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันนี้ว่า พฤติกรรมของสหรัฐฯ ที่ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบินมา "เบ่งกล้าม" (หรือแสดงกำลังในภาษาการทหาร) นั้นไม่สร้างสันติภาพเอาเลย (“This is not conducive to peace and stability in the region.”)
ผมเขียนถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีน และ สหรัฐฯ เอาไว้หลายบทความทั้งประเมินสถานการณ์ระยะสั้น และระยะยาวเอาไว้ที่นี่ ๑, ๒, ๓ ได้พยากรณ์เอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นทรัมป์หรือประธานาธิบดีคนใหม่อย่างไบเด็น ความตึงเครียดของการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศนี้จะยิ่งมีเพิ่มขึ้น มิใช่ลดลง ข่าวที่เกิดขึ้นข้างต้นดูจะเป็นการยืนยันการพยากรณ์ของผมนับแต่ต้นปี ในที่สุดเรื่องนี้จะคล้ายกับเหตุการณ์ขีปนาวุธคิวบา สมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้ และเลขาธิการโซเวียต ครุสชอฟ ที่จะต้องมีการแลกเปลี่ยนทางการทูตเพื่อบรรเทาความตึงเครียดมิให้พัฒนาไปเป็นสงคราม
ไม่มีความเห็น