เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานกับเหล่ามนุษย์ไอที ปี 49 ที่เมืองเซียงไฮ แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังไม่เกี่ยวกับ IT สักนิด มันสืบเนื่องมาจากว่า อาชิว (ไกด์ชาวจีนที่พูดภาษาไทยชัดมาก ) มักเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ให้เราฟังเวลาผ่านไปยังเมืองหรือสถานที่ต่าง ๆ ..... ซึ่งเป็นมุมมองของคนจีนแท้ ๆ ต่างกับที่ได้อ่านหรือดูจากหนังจีน ที่ดิฉันชอบดูหนักหนา
อาชิว ถามว่า ในประวัติศาสตร์ของจีนมีสาวงามอยู่ 4 คน มีใครรู้จักบ้างไหม ? ดิฉันเคยได้ยินแต่ก็จำชื่อไม่ได้หรอกนะ จำได้แค่ ไซซี กับ เตียวเสี้ยน อาชิวก็เริ่มเล่าให้เราฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับบอกว่า แม้ในผู้หญิงที่งามลือชื่ออย่างแม่นางทั้ง 4 ยังมีข้อตำหนิเหมือนกัน....
สาวงามคนแรก ชื่อ แม่นางไซซี ผู้มีฉายาว่า มัจฉาจมวารี คิดดูแล้วกันว่านางงามขนาดไหน แม้กระทั่งปลาที่เชี่ยวชาญเรื่องว่ายน้ำ ยังลืมว่ายน้ำ จมน้ำตายได้ 5555 แต่นางกลับมีมือที่ใหญ่ เหมือนผู้ชาย ไม่สวยสมหน้าเอาเสียเลย
สาวงามคนต่อมา ชื่อ แม่นางหวังเจาจวิน ผู้มีฉายาว่า ปักษีตกนภา ความงามของนางก็ขนาดที่ว่า เล่นเอานกลืมบินตกจากฟากฟ้าเลยทีเดียว แต่คนสวยขนาดนี้กลับมีเท้าใหญ่น่าเกลียด ซึ่งตรงกันข้ามกับค่านิยมของชาวจีนที่สาว ๆ มักจะพันเท้าให้เล็ก
สาวงามอันดับต่อไป ก็แม่นางเตียวเสี้ยน แห่งสามก๊ก ผู้มีฉายาว่า จันทร์หลบโฉมสุดา ก็งามขนาดพระจันทร์ยังไม่กล้าส่องแสง เมื่อนางปรากฎ (5555 หรืออาจเป็นไปได้ว่านางปรากฎตอน จันทรุปราคา พอดี อิอิ) แต่นางกลับมีไหล่ที่กว้างใหญ่ราวกับนักรบชาย ซะงั้น... ก็ต้องเข้าใจว่านางเชี่ยวชาญเรื่องรบเลยมีไหล่กว้างเป็นธรรมดา
สาวงามคนสุดท้าย ชื่อ แม่นางหยางกุ้ยเฟย ผู้มีฉายาว่า มวลผกาละอายนาง ความสดใสสวยงามของนางแม้ดอกโบตั๋นซึ่งเป็นราชินีแห่งดอกไม้ทั้งมวลยังไม่กล้าเทียบรัศมี หุบทันทีที่เจอนาง แต่คุณรู้ไหมว่า นางเป็นหญิงสาวที่มีกลิ่นตัวแรงมาก ๆ
อ้อ !!! เป็นอย่างนี้นี่เอง เป็นจริงอย่างที่เค้าว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทุกสิ่ง ในสุดยอดของความงามยังมีความขี้ริ้วประกอบอยู่ คนเราก็ไม่ได้ดีไปเสียทุกอย่าง เลวไปเสียทุกสิ่ง !!! จริงไหมค่ะ ?
ปล. ถ้าอยากรู้ว่า นางทั้งสี่สวยอย่างไร อ. Beeman เคยลงไว้ที่นี่ ภาพสุดยอดหญิงงามของจีน ค่ะ
เห็นด้วยครับ
มันใกล้จะสูญพันธ์อยู่แล้ว ทางที่ดีเรามาปลูกต้นไม้กัน คนละ 1 ค้น ประเทศไทยจะมีเขาเขียวเพิ่มขึ้นถึง 10 แห่ง ผมคนนึงล่ะจะเป็นกำลังใจให้คุณ อยู่ดีๆผมก็รู้สึกปวดหัว สงสัยน้ำมันใกล้หมด ต้องรีบไปกินข้าว (เคยหิวข้าวแรงมั้ยๆ) ขอบอกเลยน่ะว่าการที่เราแก้ผ้าอึน่ะ.....ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ที่จริงควรจะอายใจของตัวเองดีกว่าน่ะ
คนเขียนข่าว ก็ถือว่าเป็นสาวงามแห่งสำนักฯ เลยก็ว่าได้ 555
แต่เรื่องตำหนิสิ พูดไปแล้วก็เศร้า
ตำหนิไหน ใครสนิท ก็จะรู้ (ว่าไปแล้ว คนเขียนข่าว ก็จะเหมือนสาวงานทั้ง4 ในตำนานจีนเช่นกันนะเนี่ย)
ขอบคุณนะคะ กระบี่สีชมพู ที่เอาเรื่องสนุกๆมาเล่าให้ฟัง
ว่างๆ ก็อย่าลืม เขียนเป็นเล่มนะ
ว่าตอนไปเที่ยวจีนอ่ะ ตอนไปสนุกแค่ไหน ตอนกลับสุขอย่างไร เอาให้ละเอียดนะ
เผอิญอุลตร้าเป็นคนความจำสั้นอ่ะ
ปล.ใครอยากรู้บ้าง ว่า พี่กระบี่สีชมพู อ่ะ มีเรื่องขี้ริ้วอะไรบ้าง
ถ้ามี 1 เสียงว่าอยากรู้ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังนะ อิอิ
อยากรู้ อยากรู้
คิดดูแล้วกันค่ะ ...ความงามของนางถึงขั้นน่าอัศจรรย์ใจขนาดที่ผู้ใดที่ได้เห็น จะตะลึงจนลืมตัวหรือถึงกลับสลบสิ้นสติไปเลย
งามรูปเลอสรรขวัญฟ้า งามยิ่งบุปผาเบ่งบาน”
ใครนึกนางในวรรณคดีไทยคนใดได้ ลองมาประชันโฉมกับสาวจีนหน่อยซิคะ
อ่านแล้วสนุกดีขอรับ ขอบตรงนี้จังเลย
จันทร์หลบโฉมสุดา = จันทร์ซ่อนเร้นสะเทิ้นอาย
ใช่ไหมครับ
เห็นคุณกระบี่สีชมพูเขียนถึงนางงามในประวัติศาสตร์จีนและท่านอื่นๆสาวงามในวรรณคดีแล้ว ทำให้หม่อมกลางนึกถึงนางในวรรณคดีที่โรงเรียนสุรนารีวิทยาที่หม่อมกลางและกระบี่สีชมพูได้สำเร็จวิทยายุทธ(เรียนจบนั่นเอง)ได้มีการนำชื่อนางในวรรณคดีจำนวน 12 นางมาเป็นชื่อเรียกของคณะ ดังนี้
1. ท้าวสุนารี
2. นางสาวบุญเหลือ
3. สมเด็จพระศรีสุริโยทัย
4. นางนพมาศ
5. ท้าวเทพสตรี
6. ท้าวศรีสุนทร
7. พระวิสุทธิกษัตรีย์
8. นางวิสาขา
9. นางสาวิตรี
10. พระนางจามเทวี
11. นางสีดา
12. พระนางมัทรี
แสดงให้เห็นว่าไทยก็มีสตรีที่มีความงามพร้อมทั้งภายนอกภายในไม่แพ้ชาติใดๆเลยนะคะ
สวัสดีค่ะ
ตำนานนี่จริงแค่ไหนคะ
แหมกลิ่นตัวแรง จะดีได้ไงนะ
ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและ
ความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
(พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521)
"เชื่อมั่น"
เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณ คลองตัน ทอดพระเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ป้องกันน้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า "รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทน ทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน"
เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆครับ.....