คนชนเผ่า ชาติพันธุ์ , ผู้หญิง , ผู้สูงอายุ , คนพิการ , รวมถึงผู้ไม่มีสัญชาติไทย จะได้รับ “การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ” อย่างไร?
เวทีประชุมให้ความเห็นและร่วมพัฒนาข้อเสนอนโยบายสาธารณะ ตามบริบท จ.แม่ฮ่องสอน
มติ “การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ”
วันนี้ (12 พ.ค.64) มาในแบบประชุมออนไลน์ ขลุกขลักกันไปตามบริบทสัญญาณเน็ต และทักษะการใช้มือถือ แต่ก็ช่วยกันประคับประคองวงประชุมไปได้แบบได้น้ำได้เนื้อ อันนี้เป็นเพราะต้นทุนความสัมพันธ์ดี ทุกคนมี Commitment ช่วยกันบอกช่วยกันจูน
เห็นถึงน้ำใจที่พยายามช่วยกันและกันในวงประชุมออนไลน์ ไม่ใช่หนีหาย หรืออึดอัดใส่กัน แต่กลับกลายเป็นใส่ใจ
อันนี้ลึกๆ วงนี้ทำได้น่าชื่นชม
............................................................................................
ส่วนตัวผมได้เสนอความเห็นไปหลายเรื่อง ยาวนิดแต่ก็อาจจะเป็นประโยชน์นะ เลยอยากนำมาแชร์;
ผมคิดว่า การเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤต จะเป็นธรรมได้ต้องคำนึงถึงความหลากหลาย ข้อจำกัดของผู้คน และคิดในบริบทของพวกเขา
-คนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ มักไม่เข้าใจภาษาไทยชัดเจน ต้องอาศัยลูกหลาน หรือล่ามแปล โดยเฉพาะล่ามชุมชนที่มีความรู้ทั้งทางฝั่งวิถีวัฒนธรรมชุมชน และความรู้ทางฝั่งการแพทย์สมัยใหม่ (รวมถึงคนพิการที่จริงๆควรต้องมีล่ามชุมชนไว้รองรับคนพิการอย่างเป็นระบบด้วย)
-เพศภาวะโดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงชาติพันธุ์ มีบทบาทการเป็นเมียและเป็นแม่ ซึ่งพวกเธอมักต้องเป็นคนหลักในการดูแลลูกและสมาชิกในบ้าน
งานบ้าน งานนอกบ้าน ภาระที่ต้องดูแลคนอื่นมากมายทำให้การดูแลตัวผู้หญิงเองน้อยลง , การเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวก็ยากลำบาก เพราะบ้านไกลและถ้าได้รักษาคิวช้าก็จะต้องกลับเย็นหรือค่ำ ก็เสี่ยงต่ออันตราย , ทักษะในการขับรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ก็น้อย เมื่อเทียบเท่ากับชาย ,
ยิ่งเป็นประเด็นโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวข้องกับอนามัยเจริญพันธุ์ จุดซ่อนเร้นต่างๆ หรือการประกอบอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ (เช่นไปทำงานสถานบริการแล้วติดเชื้อมา) ตรงนี้ลึกๆผู้หญิงมักจะอายที่จะไปใช้บริการสุขภาพ
ความอายประกอบกับข้อจำกัดต่างๆข้างต้น ทำให้พวกเธอห่างจากระบบบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตเพิ่มขึ้น
ไม่รวมถึงการมีส่วนร่วมในตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องการเข้าถึงบริการสุขภาพ ผู้หญิงชาติพันธุ์ก็มีส่วนร่วมในตำแหน่งต่างๆน้อยมาก
อันนี้เป็นเรื่องเพศภาวะและบทบาทของผู้หญิงชาติพันธุ์ที่มีผลเป็นข้อจำกัดสำคัญ
...................................................................................................
-ระบบออนไลน์ แอพพลิเคชั่นต่างๆที่ส่วนกลางสร้างออกมารองรับการลงทะเบียนใช้สิทธิต่างๆ รวมถึงสิทธิในบริการสุขภาพ
เอาเข้าจริง ชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของแม่ฮ่องสอนยังประสบปัญหาในการเข้าถึงระบบนี้
แม้ส่วนกลางจะเจตนาดี แต่เราต้องคำนึงถึงโครงสร้างและระบบที่รองรับการใช้งานด้วย
ชาวบ้าน คนยากจน ต้องมีมือถือรุ่นที่รองรับแอพฯ มีโครงข่าย Wifi ที่เสถียรพอ มีคนคอยช่วยให้คำแนะนำในการใช้งาน
(อย่าว่าแต่ภาษาอังกฤษเลย คนแม่ฮ่องสอนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากอ่านภาษาไทยไม่คล่องหรือไม่ได้เรียนหนังสือ)
- “การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ” ได้ไม่ใช่มีแต่นโยบายด้านสุขภาพหรือสาธารณสุข แต่ต้องมีนโยบายและมาตรการระดับล่างรองรับด้วย เช่น การเร่งรัดให้ผู้สูงอายุทำบัตรประชาชนได้สะดวกขึ้น (เพราะคนเฒ่าคนแก่เองก็ต้องใช้บัตรประชาชนมาลงทะเบียนแอพลิเคชั่นต่างๆ--บางคนเป็นบัตรแบบเก่า บางคนบัตรหาย แต่สภาวะคนแก่จะมาทำบัตรประชาชนทีก็ยากลำบาก)
อันนี้รวมถึงคนพิการ ควรที่เราต้องมีมาตรการเชิงรุกที่พวกเขาไม่ต้องลงดอยมา เสียเงินทองมากไม่พอยังเสี่ยงต่อการรับเชื้อกลับไปอีก
แต่จะทำอย่างไร ออกแบบระบบอย่างไร ไปคิดกันดู
นี่ยังต้องรวมถึงการเร่งรัดออกใบรับรองความพิการด้วย ตรงนี้ที่แม่ฮ่องสอนก็มีให้เห็นอยู่มาก
ถ้าได้บัตรคนพิการ ความช่วยเหลือด้านบริการสุขภาพก็จะเฉพาะเจาะจง
ตรงกับความจำเป็นของคนๆนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเป็นกลุ่มคนทั่วไป
.................................................................................
ในส่วนผู้ไม่มีสัญชาติไทยและผู้มีปัญหาสถานะบุคคล เกือบทั้งหมดถือเป็นคนยากไร้
แม้จะให้สิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤต ให้สิทธิในการฉีดวัคซีน แต่คำถามก็คือแล้วคนเหล่านี้เขายังจำเป็นต้องมีปัจจัยสนับสนุนอื่นอีกไหม?
เช่น ข้อมูลข่าวสารที่เข้าถึงและเข้าใจง่าย , กฏหมายที่จำกัดการเดินทางยังปิดกั้นพวกเขาในการไปใช้สิทธิทางสุขภาพหรือไม่ อย่างไร ,
รวมถึงถ้ามีการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อมลง มีการส่งมอบงานทะเบียนอย่างเป็นระบบ (ไม่ใช่นายอำเภอย้าย ปลัดย้าย ก็ถือเป็นเหตุให้ต้องช้าไปอีก) ก็จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้คนเหล่านี้ได้รับความเป็นธรรม ได้รับความคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตเท่าเทียมกันกับคนไทยทั่วไป
ตรงนี้จะทำอย่างไร สาธารณสุขคงคิดลำพังไม่ได้ ก็ต้องมีมหาดไทย มีฝ่ายความมั่นคง มีองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ฯลฯ มาช่วยกันหาทางออก
แต่ลำพังจะอาศัยหมอที่เป็น Health Sector อย่างเดียวไม่พอ ก็ต้องมี Non-Health Sector ในทั้งระดับMacro กับ Micro มาหนุนด้วย
ทั้งหมดนี่เป็นภาพของ “การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ” ที่ต้องทำเป็นระบบนิเวศ คือมองให้เห็นปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (Social Determinants of Health หรือ SDH)
เหมือนเหตุมีแล้ว ที่เหลือคือทำเงื่อนไขให้ถึงพร้อม ผลจึงจะเกิดไปตามบริบท
อันนี้ ภาคปฏิบัติชัดเลย
............................................................................
สุดท้าย เป็นเรื่องกลไกและระบบติดตาม “การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ”
ถามว่าเราจะฝากความหวัง ฝากบทบาทในการติดตามประเมินผล และสะท้อนกลับสู่ทุกภาคส่วนเพื่อสร้าง Commitment ร่วมต่อไปได้อย่างไร ที่ไม่ใช่กลไกที่ใช้แต่ภาครัฐโดยเฉพาะ Health Sector นำอย่างเดิม
ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ารับมือกับวิกฤตที่ซับซ้อนและหนักหนานี้อย่างลำพังไม่ได้
หากถ้ามองจุดแข็งและบทเรียนในการจัดการ ก็จะเห็นตัวอย่างระดับจังหวัด เช่น ลำปางโมเดล ฯลฯ ซึ่งเป็นลักษณะการกระจายอำนาจ
“การคุ้มครองการเข้าถึงบริการสุขภาพในภาวะวิกฤตอย่างเป็นธรรม ” การออกแบบ , การปฏิบัติการ , สื่อสาร , ไปจนถึงการพัฒนากลไกและระบบติดตาม ก็จำต้องอาศัยการออกแบบที่ให้น้ำหนักกับการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันของทุกภาคส่วน โดยน่าจะคำนึงถึงบริบทให้มีผู้แทนของกลุ่มประชากรเฉพาะ โดยเฉพาะที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้แทนจากชมรมผู้สูงอายุ , ผู้แทนเครือข่ายชาติพันธุ์ , เครือข่ายคนพิการ , เครือข่ายภาคประชาชน 9 ด้าน ฯลฯ เข้าไปอยู่ในกลไกหรือกรรมการที่มีบทบาทเหล่านี้
จึงจะนับได้ว่า มีการพัฒนาโครงสร้างและกลไกที่เป็นธรรม สอดรับไปพร้อมกับที่เรากำลังพัฒนานโยบายที่เป็นธรรมเหล่านี้ด้วย
พิมพ์ยาวๆนี่ก็ใช้พลังงานเยอะ แต่อยากบันทึกไว้เป็นความทรงจำและอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนภาคีในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมกับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนยากลำบาก คนตัวเล็กตัวน้อยที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น
วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์
กองเลขานุการกิจ สมัชชาสุขภาพแม่ฮ่องสอน
13-5-64
ไม่มีความเห็น