การหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน สักเล่มหนึ่งเท่ากับว่า เรากำลังสนใจอ่าน เรื่องราว ปูมชีวิต ถ้อยคำ สำนวน ในลีลาภาษา โวหาร ที่ผู้เขียนหรือเจ้าของหนังสือนั้น เขาทุ่มเทตั้งใจเขียนออกมา...ให้เราอ่าน
เรื่องราวเหล่านั้น...อาจมีทั้งเรื่องจริง เรื่องเล่าประสบการณ์ หรืออื่น ๆ ลีลาภาษาอาจชวนฝัน น่าติดตาม เป็นตรรกะ ฯลฯ ตามความสนใจของผู้อ่าน ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า...การอ่านหนังสือนั้น เท่ากับว่า เรากำลังอ่านเรื่องราวของผู้เขียนคนนั้น ๆที่เขาเทใจเขียนมาให้เราอ่าน... กันเลยทีเดียวก็ว่าได้
หนังสือแต่ละเล่ม มันจึงผ่านบริบทต่างๆ ของผู้เขียนมาพอสมควร เพราะฉะนั้น เมื่อเราหยิบจับหนังสือแต่ละเล่มขึ้นมาอ่าน นั่นเท่ากับว่า เรากำลังสนใจ อ่านเรื่องราว จิตวิญญาณของผู้เขียน ในหนังสือเล่มนั้น... ประมาณนั้น
เราจึงเป็นหนึ่งผู้เสพ ..อรรถรสของภาษาในหนังสือ ที่เข้ามาเติมเต็มในช่องว่างระหว่างชีวิต ให้แก่เรา
ยิ่งอ่านมาก....ยิ่งได้เปรียบกว่าคนอื่น หนังสือจึงเป็นดั่ง เพื่อนแท้ ที่นำพาสาระดี ๆ มาสู่ชีวิตเรา ให้เราได้ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้ง ต่อตัวเราเองและคนรอบข้าง
หากเราละเลยที่จะนำพา ข้อคิดและสาระที่แฝงอยู่ในหนังสือนั้นมาใช้ หนังสือก็เป็นได้แค่เพียง เพื่อนคลายเหงา เพื่อนแก้เซ็ง
แต่..ณ เวลานี้ โควิด สอนให้เรารู้ว่า เราไม่มีอะไร ที่จะเสียแล้ว การมีเวลาอยู่กับ หนังสือ อาจเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ หนังสือ จึงเป็นได้ทั้ง 2 บริบท คือเป็นทั้งเพื่อนแท้และเพื่อนแก้เซ็ง แก้เหงาได้ในคราวเดียวกัน…
วันหนึ่งข้างหน้า เพื่อนแก้เหงาเล่มนี้ มันจะเขยิบขึ้นมาเป็น “เพื่อนแท้” สำหรับใครบางคนได้ไม่ยากนะครับ ...(ผลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส)
ไม่มีความเห็น