วิสฺสาสปรมา ญาติ. ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง 


       เมื่อวันก่อนมีคนโทรมาเป็นเสียงผู้ชาย พอจะถามว่าใครโทรมา เขาก็ตั้งคำถามที่ทำให้ตกใจและไม่อยากจะรู้ว่าเรากำลังพูดอยู่กับใครอีกเลยว่า “หลวงพ่อครับ การผูกคอตายนี้บาปมากไหมครับ .....” ก็เลยตอบไปว่า “บาปมาก เพราะการเกิดเป็นคนเป็นของยาก กว่าจะได้เกิดเป็นคนนี้ต้องสะสมบุญกันอย่างยาวนาน.....” แต่พูดสักพักทางโน้นก็เงียบไป เหมือนสายถูกตัด ก็เลยไม่ได้สนใจมากคิดว่าเขาอาจจะโทรกลับมา แต่ก็เงียบ คราวนี้คิดว่าหากคนที่คิดสั้นฆ่าตัวตายเขาต้องการคนที่พูดด้วย แล้วถ้าตอนนั้นเงินในโทรศัพท์เขาหมดแล้วเขาจะโทรหาใครได้อย่างไร จึงตัดสินใจโทรกลับไป และก็ได้คุยกับเสียงชายหนุ่มคนนั้นคนเดิม คราวนี้ก็เทศน์ยาว เทศน์ไปก็ค่อยๆถามความเป็นอยู่ไป ตอนหนึ่งเขาบอกว่า 

      เขา “ผมอายุ32 ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้ว พ่อแม่ก็ไม่มี ปู่ย่าก็ตายหมดแล้ว ไม่มีใครรักผมเลย”

   อาตมาคิดในใจ ขำๆหนุ่มคนนี้จึงบอกว่า “จะให้โลกยิ้มกับเรา เราก็ต้องยิ้มกับโลกก่อน”

แล้วก็พูดไปอีกนานพยายามให้ตั้งสติ ให้คิดทบทวนความผิดพลาดในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการก่อหนี้อันมาจากอบายมุข และให้แก้ไขที่ต้นเหตุนั้น และเขาก็พูดต่อว่า “ตอนนี้ผมเลิกหมดแล้ว บุหรี่ เหล้า” ฟังอย่างนี้แสดงว่าคงใช้ชีวิตแบบไม่ระมัดระวัง ใช้ชีวิตสนุกสนานไปเรื่อยๆ ก็เลยเทศน์ต่ออีกพักหนึ่งให้ตั้งใจใหม่ พอจังหวะที่หยุดเขาก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณหลวงพ่อครับ เดี๋ยวผมต้องขอตัวไปเข้าเวรก่อน” เออ..อย่างนี้ดีหน่อย ยังมีงานทำ (คิดในใจ) อาจจะมีอะไรเข้ามากระทบใจจึงทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบคิดสั้นขึ้นมาได้

             พอวางสายลงก็รู้สึกสบายใจว่าวันนี้ได้ช่วยให้คนตั้งสติได้ มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความจริงโลกทุกวันนี้เราเชื่อมโยงกันง่ายมาก สื่อโซเชี่ยลต่างๆทำให้เรารู้จักหรือทำกิจกรรมร่วมกันได้ง่ายมากขึ้น แต่แปลกว่าทำไหมผู้คนกลับดูเงียบเหงามากขึ้นกว่าเดิม รากฐานของสังคมคือความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ความเห็นอกเห็นใจกันน้อยลงๆ 

                อาตมามองว่าเท่าที่ได้รู้จักกับญาติโยมในหลายๆที่มา รู้สึกว่าสภาพจิตใจของคนไทยยังเหมือนเดิม คือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความเป็นมิตรสูง และมีความผูกพันกันระยะยาว คือคบกันไปนานๆ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ เหมือนที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “วิสฺสาสปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง” แต่ที่พฤติกรรมของคนไทยดูห่างเหินและตัวใครตัวมันก็เพราะว่า มีบางคนเท่านั้นที่อาศัยความใจดีของผู้อื่นแล้วฉวยโอกาสหลอกลวง เมื่อได้ประโยชน์แล้วก็หลบลี้หนีหน้าไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้าไว้ก่อน ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยด้วย ไม่กล้าที่จะหยิบยื่นอะไรให้ถ้าเขาไม่ขอซึ่งคนที่มีความทุกข์อยู่ก็ไม่กล้าขอ

              การทำความดีนั้นทุกคนต้องกล้าทำ ต้องกล้าเสียสละในภาวะที่เราทำได้ ไม่ควรปฏิเสธไปเสียทุกเรื่องว่า “เราไม่เกี่ยว” “ไม่ใช่หน้าที่ของเรา” อย่างเช่นในหมู่บ้านของเราหากมีหลุมอยู่กลางถนน ส่วนใหญ่จะบอกว่าเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบ คราวนี้ก็ต้องรอจนกว่าเจ้าของโครงการจะมา ทีนี้ถ้าหากลูกของเรามาจากที่อื่นมาเยี่ยมแม่ แล้วขับรถตกหลุมเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนก็โทษว่าเป็นความผิดของเจ้าของโครงการใช่ไหม ก็ใช่อยู่แต่ประโยชน์อะไรกับการไปหาตัวคนผิดมาลงโทษ หากมีใครสักคนแค่เอาหินคลุกสัก3-4ปุ้งกี๋มาลงหลุมเอาไว้ก่อนรอคนมาซ่อม คนที่กล้าทำดีเช่นนี้มีจิตใจเสมอด้วยเทวดา เขาจะรู้ด้วยตัวเองว่ามีความสุขที่เห็นคนผ่านไปมาเหยียบรอยซ่อมถนนที่เขาทำนั้น ให้เขาแต่ตัวเองได้ และได้การยอมรับในใจของคนในท้องถิ่นนั้น คนจะรักและนับถือแม้จะไม่ได้พูดออกมาแต่ออกมาทางคำพูดและกิริยาอาการ ความสุขนั้นหาไม่ยาก รู้จักที่จะให้ก่อน ต่อไปจะมองโลกอย่างสดใสแม้จะไม่มีเงินมากก็มีความสุขได้ คนมีเงินมากๆนั้นเอาอะไรมาวัดได้ว่าจะมีสิทธิไปสวรรค์มากกว่าคนมีเงินน้อย การให้นั่นแหละ ให้ด้วยความจริงใจ อาจจะเป็นเครื่องวัดอย่างหนึ่งว่าจิตใจของคุณดีพอจนสามารถไปสวรรค์ได้

 

หมายเลขบันทึก: 693321เขียนเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2021 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2021 11:36 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท