"ทำอย่างกับว่า จะอยู่ตลอดไป" ... (๑ ปีแห่งการเรียนรู้ชีวิต)


๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นวันครบรอบ ๑ ปีในการจากไปของแม่

๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นวันครบรอบ ๑ ปีในการจากไปของแม่

กว่าเวลาจะผ่านไปในแต่ละวัน มันดูเชื่องช้า เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง เป้าหมายในทุกเรื่องเป็นสีจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เข้าใจในหลักธรรมในระดับเริ่มต้นการเรียนรู้ว่า …

“… ไม่มีสิ่งใดจะอยู่ตลอดไป และตลอดกาล 
วันหนึ่งเราก็ต้องรู้จักคำว่าสูญเสีย 
เพียงแต่เราจะเข้าใจ ทำใจได้มากน้อยแค่ไหน …”

 

หนังสือก็ซื้ออ่านมาเช่นปกติในทุก ๆ ปี แต่อ่านไม่เคยจบ

ใครอยากจะชิงดีชิงเด่นกันแค่ไหน ก็ตามสบาย ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย มีหน้าที่อะไรก็ทำไป ทำให้ดีที่สุดเท่าที่สภาพจิตใจจะทำได้

ข่าวสารที่เข้ามาในช่องทางต่าง ๆ มองข้ามไปบ้าง อ่านผ่าน ๆ บ้าง เลือกสรร ปล่อยทิ้งตามเหตุอันสมควร เราไม่จำเป็นต้องรู้ไปทุกเรื่อง เวลาของชีวิตของเราไม่ได้มีมากขนาดนั้น

การสอนหนังสือ ก็ให้หย่อนลง ตัดทิ้งมากกว่ามุ่งหวัง ใครอยากเรียนก็เรียน ใครไม่อยากเรียนก็ตามใจ ไม่เคี่ยวเข็ญเหมือนก่อน กรรมเป็นของบุคคล ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เด็กเจนใหม่ ไม่ชอบความเหนื่อยยาก อะไรมันง่ายก็เลือกทำอย่างนั้น หิริ-โอตัปปะไม่ต้องใช้ เอาใจตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง ได้ง่าย ๆ เอา ยากไปก็บ่น ต่อว่า ระราน วิ่งหนี เหมือนชีวิตไม่ต้องทำอะไรให้มันมีคุณค่ากว่านี้ พ่อแม่มีหน้าที่เลี้ยงดู ก็นั่นเรื่องของพ่อแม่ ที่เหลือคือชีวิตตัวเอง ผลกระทบใดมันวิ่งกลับมาหาตัวเอง ครอบครัวตัวเอง จึงค่อยรู้สึก

เพื่อน ไม่ต้องมีเยอะก็ได้ หากมีเยอะแล้ววุ่นวาย ยังอยู่คนเดียวได้ ไม่ได้เดือดร้อนใคร หรือถ้าจะมี ขอสนิทสักคนก็พอ

ไม่ต้องไปปรารถนาดีต่อใคร เพราะนั่นเป็นข้ออ้างที่จะเข้าไปคาดหวังสิ่งที่ตนเองอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราคิด ไม่มีใครเป็นเหมือนใคร ชีวิตเป็นของเขา ให้เขาตัดสินใจเอง

คนรัก ถ้ามีแล้วมีความสุขก็อยากมี ต้องจำไว้ว่า “เราสามารถชอบใคร รักใครก็ได้ตามที่ใจเราบอก แต่เราไม่สามารถไปบังคับให้ใครมารักเราได้”

ถ้าหมดภาระทางโลกแล้ว อยากปลีกวิเวก ศึกษาธรรมอย่างจริงจังสักที ดวงตาเห็นธรรม เข้าใจโลกให้มากกว่านี้ 

ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่เชียงใหม่เงียบ ๆ มา ๑ ปีเต็ม ข้าวของกองเต็มบ้าน ไม่รู้สะสมอะไรมากหนักหนา เริ่มจัดการ เรียงลำดับ หาแหล่งบริจาคที่เหมาะสมกับข้าวของที่ไม่ได้ใช้ บางที หลังเกษียณไปอาจจะไปนั่งขายของมือสองอยู่แถวกาดพื้นถิ่นในเชียงใหม่ก็ได้

๑ ปีที่ผ่านมา เป็น ๑ ปีแห่งการเรียนรู้ชีวิตที่สูญเสีย ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าไม่มีใครหนีมันได้ ไม่ช้าก็เร็ว การปลดปลงความรู้สึก การแสดงออกในอิริยาบถต่าง ๆ กลายเป็นหยุดนิ่ง ลดความบ้าของตัวเองลง ลดอัตตาตัวตนให้มากขึ้น 

วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เราต้องกลับคืนสู่โลก ดิน น้ำ ลม ไฟ

 

 

ไม่มีใครจะอยู่ในโลกนี้ได้ตลอดไป เร่งทำบุญกุศล ความดีไว้เถิด ละทิ้งความชั่ว ทำให้จิตใจใสสะอาดผ่องแผ้ว

ถ้าหากชีวิตของผมยังมีประโยชน์ต่อสังคม ต่อโลกอยู่บ้าง ก็ขอให้ผมได้มีโอกาสทำสิ่งดี ๆ เหล่านั้น

 

“ชีวิตนี้สั้นนัก จะทำอะไรก็รีบทำ”

 

นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ใน ๑ ปี ที่ผ่านมา

บุญรักษา ทุกท่าน ;)…

..

..

หมายเลขบันทึก: 711057เขียนเมื่อ 2 มกราคม 2023 00:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 มกราคม 2023 00:56 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

I’d modify this “ชีวิตนี้สั้นนัก จะทำอะไรก็รีบทำ” to “ชีวิตที่เหลือนี้สั้นนัก จะทำอะไรก็รีบทำ”. Don’t let hopelessness and despair (from failures) become a drag on our life. We are still capable of achieving many great things, giving many great things and enjoying our happy moments.

Life may slow down so we have more time to think carefully and to do things more excellently. ;-)

Give a smile.

เป็นกำลังใจให้นะคะ รักษามาตรฐานของตนเองไว้ค่ะเวลาจะเยียวยาทุกสิ่งค่ะ

ขอบคุณมากครับ ท่าน ผอ. ;)…

ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ GD ;)…

ชีวิตที่เหลืออยู่ อยู่แบบสงบ สุขภาพแข็งแรง มีกิน มีใช้แบบพอเพียง ใจไม่ว้าวุ่น นอนหลับสบาย แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ

อนุโมทนาสาธุครับ พี่แก้ว ;)…

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท