ตี 4 ครึ่งของเช้าวันที่ 2 ณ ประเทศลาว ฉันลืมตาตื่นท่ามกลางอากาศเย็นแห่งเมืองหลวงพระบาง เปิดประตูไปรับลมหนาวที่ริมระเบียง มองดูชีวิตช่วงเช้าจากบนระเบียง แม่ค้าเริ่มมาจัดเตรียมอาหารสำหรับถวายพระให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อตักบาตร ฉันกินกาแฟที่เฮือนพักจัดไว้ในห้อง แล้วชงชาใส่กระบอกร้อนลงมานั่งดูวิถีผู้คน
ที่พักตรงนี้ดีค่ะ (Pakhongthong Villa Luang Prabang)
พระหลายร้อยรูปจากหลายๆวัดเดินบิณฑบาตรผ่าน ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เกือบ 6 โมงเช้าก็ทันบาตรค่ะ แค่เดินลงมาจากที่พักก็ตักบาตรได้เลย จริงๆ ตอน Check-in เจ้าหน้าที่ที่เฮือนพักก้ได้ถามว่า จะให้จองชุดตักบาตรให้ไหม มีบริการ
วันนี้ฉันนอนอิ่มเลยตื่นเช้า ฉันอยากได้แค่ภาพสวยๆ จากกล้องมือถือที่ตกมาไม่รุกี่รอบ ไม่คิดจะตักบาตร แต่ก็เปลี่ยนใจจากอัธยาศัยของแม่ค้าและคนท้องถิ่น รวมถึงพ่อตุ๊แม่ตุ๊ที่มารอตักบาตร เลยขอซื้อชุดตักบาตรมาทำบุญส่งท้ายปีใหม่ต้อนรับปีใหม่ ให้เป็นกุศล อนุโมทนาสาธุแก่ทุกท่านด้วยนะคะ
การขายของตักบาตรเปลี่ยนแปลงไปเยอะ สมัย 15 ปีก่อน แม่ค้าจัดเตรียมให้เฉพาะข้าวเหนียว 1 กระติบ แต่ตอนนี้มาพร้อมขนมแห้งๆ มีผ้าเบี่ยง (ผ้าสไบ) และเสื่อปูพร้อมเก้าอี้ให้นั่งรอ ชุดละประมาณ 80-100 บาท ระหว่างนั้นก็มีแม่ค้าหาบขนมกับอาหารพร้อมทานมาจำหน่ายเพิ่ม เช่น ข้าวหลาม บางทีนักท่องเที่ยวก็อาจจะคิดว่าของที่จำหน่ายมีราคาแพง ไม่ซื้อไม่เป็นไรนะคะ สามารถหาเตรียมของตักบาตรมาเองได้
แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการตักบาตร ที่ได้มาจากพูดคุยกับคนลาว คือ ไม่ควรยืนตักบาตรค่ะ ต้องนั่งตักนะคะ และตอนรอพระต้องนั่งรอเลยค่ะไม่ยืนรอ ไม่วิ่งนะคะ ถอดรองเท้า และควรมีผ้าเบี่ยง (หรือสไบ) ห่ม สำหรับแสดงออกถึงความเคารพต่อภิกษุสงฆ์ด้วย และควรรอตักบาตรด้วยความสุภาพ (ระวังเสียงชวนกันถ่ายรูปจะรบกวนผู้อื่น) ถ้าซื้อของจากแม่ค้าสามารถฝากกล้องให้เค้าช่วยถ่ายภาพให้ได้ค่ะ ชาวต่างชาติหลายคนไม่ได้ใช้บริการซื้อชุดตกบาตร ก็จะไม่มีเสื่อให้นั่งรอ ทำให้ต้องยืนรอ…นั่งที่ฟุตบาต หรือขอนั่งหน้าบ้านชาวบ้านได้นะคะ
ตักบาตรแต่ละทีก็อดจะเอ็นดูจั่วน้อย (เณรน้อย) ไม่ได้ มีความน่ารักค่ะ
ตักบาตรเสร็จยังมืดอยู่ ขึ้นไปเอนหลังเชคข้อมูลการเดินทาง พออายุเยอะฉันนิยมรูปแบบการท่องเที่ยวที่ไม่เหนื่อยไม่เยอะ พาร่างมาพักผ่อน ไม่เน้นการเปิดโลก ขนาดนั้นคนยังบอกทริปนี้ฉันสู้ไม่ดูวัย เขียนคิ้วกรีดตา รอเวลาลงมากินข้าวเช้า หน้าตาเริ่มต้นสำหรับการไปหนองเขียวดูพร้อมมาก
วันนี้ต้องเดินทางไปหนองเขียว-เมืองงอยคนเดียว คาดว่าจะเจอกับเพื่อนที่มารับไปบ้านประมาณบ่าย 2-3 โมง ฉันให้ที่พักติดต่อสำรองที่นั่งรถตู้ไปหนองเขียว และรถมารับไปสถานีขนส่งสายเหนือในเวลา 8.30 น. เกือบ 8 โมงฉัน Check out และกินอาหารเช้าแบบเต็มคาราเบล ปกติกินข้้าวเช้าที่ไหน แต่การไปในที่เราไม่เคยไปให้อิ่มท้องไว้ก่อน สำหรับการเดินทางไกล มีการเตรียมน้ำขวดและการแฟร้อนไปด้วย
อาหารเช้าของที่พัก กาแฟเติมได้ไม่อั้น ปาท๋องโก๋กรอบนอกนุ่มใน แป้งเหนียวนุ่ม อร่อยมาก (ราคาห้องปรับอากาศ 1100 บาท อาหารเช้า 100 บาท) -ที่พักนี้อยู่ใกล้ตลาดเช้า นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกไปเปิดประสบการณ์โดยการหากินที่ตลาดเช้า
ชุดอาหารมีทั้งเป็นแบบยุโรป ABF กับเอเชีย ซึ่งเป็นข้าวต้ม
ตอนยกมาเสิร์ฟยังงอยู่ เค้าเสิร์ฟข้าวต้มอะไรนะ เห็นมีแต่ข้าว มีพริกผัด หอมซอยและมะนาวซีกเสิร์ฟมาด้วย แต่น แต๊น แต้น…มันคือข้าวต้มไข่พะโล้ค่ะ…ตัวไข่กับหมูสามชั้นจะอยู่ด้านล่าง กินกับปาท๋องโก๋นี่เข้ากันมาก เมนูนี้อร่อยมากค่ะ ข้าวเค้าอร่อยต้มได้เหนียว นุ่ม และนัวกำลังดี
เชคเงินกันอีกนิด ฉันวางแผนผิดนิดหน่อยใช้เงินไทยที่ด่านหนองคายเป็นค่าฝากรถหลายบาทยุ….ทำไมตรูไม่โอนใช้เงินสดทำไม…หากไม่พอจะได้แลกเงินเพิ่ม (ที่เฮือนพักนี้มีบริการโอนเงินสดเข้า E-bank เค้ามีบัญชีไทย แล้วเค้าจะให้เงินกีบเราตามเรตในแต่ละวัน)
เกือบ 9 โมงเช้า รถสองแถวมารับไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือ พอขึ้นรถมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาก่อน ทุกคนมีจุดหมายเดียวกัน คือ หนองเขียว รอยยิ้มและเสียงทักทาย Hello, Morning, สบายดี ทำให้การเริ่มต้นทริปดีมากๆ “ยกเว้น” ฉันลืมรองเท้าสปอร์ตไว้ที่ที่พักในเวียงจันทน์...สงสัยจะตอนรื้อที่ฟร้อนท์ของโรงแรมเมมโมลี้...แต่ก็ช่างเถอะ…ย้อนเวลาคืนไม่ได้แล้วนี่…The Show Must Go On
ส่วนค่ารถตู้และค่ารถสองแถวรับส่งจากเรือนพักฉันจำไม่ได้ รู้งี้เขียนบันทึกทันทีที่กลับมาดีกว่า
รถตู้นักท่องเที่ยวพา 13 ชีวิตจากชาติต่างๆ ออกไปนอกเมือง มีฉันเป็นคนไทยคนเดียว คู่สามีภรรยาชาวญี่ปุ่นที่เราใช้เวลาว่างคุยกันเยอะหน่อย ที่เหลือเป็นชาวตะวันตก บรรยากาศปลายปีที่อากาศเย็นทำให้การเดินทางโรแมนติก รถวิ่งเลียบลำน้ำอูสีเขียวที่ทอดยาวไปกับถนนสลับกับภูเขา ไร่นา ทำให้ฉันมีพลัง
เพื่อนเอนกก็ทักทายมาเป็นช่วงๆ ถึงไหนแล้ว...ไม่รุว่าจะตอบว่าถึงไหน...ป้ายหมู่บ้านภาษาลาวก็อ่านไม่ค่อยแข็งแรง รถใช้เวลาวิ่งประมาณ 3-3.30 ชั่วโมงกับระยะทาง 140 กิโลเมตร วิ่งมาได้สักครึ่งทางก็จะจอดแวะให้เข้าห้องน้ำที่ปั๊ม สบายๆค่ะ
สบายจนฉันหลับไปตื่นนึง รุสึกตัวเสียงทัก MS จากเพื่อนมาว่าถึงไหนแล้ว ถึงน้ำบากรึยัง อะไรคือน้ำบาก? ฉันถามกลับ...เอนกก็บอกว่า เมืองใหญ่ๆงัย ถึงแยกปากมองยัง 555 เอาจริงฉันไม่รุเลย แต่ดูจากนาฬิกาก็คาดว่าใกล้ถึงแล้ว (ขากลับรถตู้เที่ยว 11.30 โมง จอดให้พักทานข้าวที่เมืองนี้ด้วย เพราะคร่อมเที่ยง) รถแวะจอดส่งคนที่จุดรับส่งและพาเรามาถึงสถานีรถเมืองหนองเขียวก็เกือบบ่าย 2
ก่อนจะไปท่าเรือ ดูเวลารถเที่ยวสุดท้ายให้มั่นใจ ฉันจะพลาดรถไม่ได้นะ…ชีวิตเปลี่ยนแน่
ฉันปวดฉี่มากแต่รถสองแถวรับส่งมารอรับ เพราะจะรับนักท่องเที่ยวไปพร้อมกันเที่ยวเดียว ห้องน้ำที่สถานีรถก็ปิด เอาวะ อั้นไว้ก่อน ขึ้นรถบอกให้ไปส่งที่ท่าเรือไปเมืองงอย นักท่องเที่ยวหลายคนใช้การเดินไปที่พัก หลายคนก็ขึ้นรถคันเดียวกับฉัน รถสองแถวทยอยแวะส่งหลายคนที่ที่พักเลียบลำน้ำอู และจอดส่งฉันที่ท่าเรือ ในราคาที่จำไม่ผิดประมาณ 30-40 บาทนี่หล่ะ
เข้าห้องน้ำที่ท่าเรือแล้ว สบายใจหน่อย ลมหนาวพัดจากแม่น้ำขึ้นท่าเรือ ทำเอาต้องใส่เสื้อแขนยาว หาผ้าพันคอ สบายตัวแล้วก็รู้สึกหิว ถามเวลาออกเรือ ผู้คนก็บอกว่าประมาณบ่าย 2.30-2.45 น. ที่ท่าเรือมีร้านอาหารด้วย ชื่อร้าน LE ฉันก็สั่งเฝอร้อนๆ มาซด ระหว่างรอของกินพูดคุยกับคนไทยที่รอเรืออยู่กอนแล้ว เค้ามาเมืองงอยเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เค้าว่าเมืองยังใส
บรรยากาศดี วิวสวย จนน่าซดเบียร์ลาว ราคาถูกมาก แต่ความหนาวนี่สิทำเอาต้องซดเอาน้ำร้อนเข้าร่างกาย
ยังมีเวลาเหลือนิดหน่อย ฉันปีนตลิ่งขึ้นไปที่ถนนกลางเมืองหนองเขียว เพื่อหาซื้อของฝากไปเยี่ยมยามญาติๆของเพื่อน ที่เอนกบอกว่าร้านขายของแถวท่าเรือ เย๊อะ...ใช่เยอะ แต่มันไม่บอกว่า ต้องเดินขึ้นเนินเหมือนชั้นของตลิ่ง เล่นเอาหอบแฮ่ก
จากร้านค้าฉันมองสุดปลายถนนที่ยาวไปในเมือง อ้อ นี่นะหนองเขียว น่าเดินนะ วันนี้อากาศดี แต่เสียดายที่ฉันไม่มีเวลาพอ ฉันมีนัดกับเอนกที่บ้านสบกอง เมืองงอยไว้แล้ว (ไม่แน่บริหารเวลาดีๆอาจจะได้มีเวลาเลาะเมืองหนองเขียวในวันกลับ)
กลับมารอเรือ เพื่อนและคนที่นี่บอกว่าไปเมืองงอยใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าโดยเรือยนต์ เรียกไม่ถูกว่าใช่เรือหางยาวไหม ซึ่งจะถึงบ้านสบกองก่อน...ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ
ระหว่างรอเวลาเรือออก ฉันก็เล่นบทพี่เลี้ยงเด็ก เล่นกับเด็กหญิงน้ำผึ้ง เด็กน้อยน่ารัก ไม่โยเย เลี้ยงง่าย ทำให้การเดินทางวันนี้ไม่ใช่แค่ถึงจุดหมาย แต่มีสัมพันธภาพระหว่างทาง โชคดีจริงๆที่วันนี้เจอน้องติ๊ก แม่ของน้องน้ำผึ้ง คนบ้านสบกองเป็นเพื่อนเดินทาง ทำเอา Lonely Planet ครั้งนี้อุ่นใจขึ้นเยอะ เอาไปเอามาน้องติ๊กเป็นญาติของเอนกและนางต๊อดด้วย…นี่แหล่ะเค้าถึงว่าโลกกลม
เรือวิ่งในสายน้ำอูที่เย็นมาก น้ำสีเขียวใส ระหว่างเป็นภูเขามีหมอกปกคลุมบนยอด ถ้ามาหน้าร้อนคงจะอยากเล่นน้ำแน่ๆ แต่วันนี้อากาศหนาวมาก
ผ่านบ้านชาวบ้านเห็นวิถีชีวิตของคนกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการหาปลา การสัญจร การอาบน้ำซักผ้า เพลินทีเดียว และที่สำคัญผ่านสวนส้ม...ที่อยู่ริมฝั่งทั้ง 2 ข้าง ค่ะส้มเขียวหวานค่ะ ที่คนท้องถิ่นเล่าว่า หากระหว่างทางจากหลวงพระบางมาหนองเขียวเห็นร้านค้าขายส้มข้างทาง นั่นคือส้มที่ปลูกกันที่นี่ ไม่ได้นำเข้า…อ้อ ความรู้ใหม่ ลาวก็นิยมปลูกส้มเหมือนจังหวัดทางภาคเหนือของไทย
เรือลดความเร็วหันหัวเข้าท่าบ้านสบกอง ฉันเห็นผู้ชายอยู่ริมตลิ่งไกลๆ เพื่อนของฉันใช่ไหม ทำไมฉันเห็นหน้าเอนกครั้งนี้ถึงดีใจแท้... ...ฉันจะไปที่ฟาร์มสเตย์&รีสอร์ท ที่ชื่อว่า นาตาดหมอก ...บ้านของนางต๊อด ภรรยาของเอนก
มาคะ...มาอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ2 วัน 2 คืน กับธรรมชาติและวิถีเรียบง่ายที่บ้านสอบกอง @เมืองงอย
เดี๋ยวจะมาเล่าต่อถึงครอบครัวของเพื่อนนะคะ ว่าเค้าชวนพี่มาทำอะไรที่บ้านสบกองแห่งนี้
อ่านแล้ว..เหมือนไปด้วยเลย ชวนให้ติดตามครับ