บทความ Author Talks : Got Friction? Stanford’s Robert I. Sutton shares what you can do about it นำสู่หนังสือ The Friction Project : How Smart Leaders Make the Right Things Easier and the Wrong Things Harder
ผมจ้องอ่านเพื่อเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแรงเสียดทาน (เช่นการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง) ให้กลายเป็นพลังบวก หรือลมส่ง ซึ่งเป็นเส้นทางสู่การมีผลงานดี
ข้อเรียนรู้ข้อแรกจากการอ่านบทความ คือเมื่อองค์กรมีอายุมากขึ้น จะสะสมความซับซ้อน หรือกิจกรรมที่ไม่จำเป็น ไว้มาก รวมทั้งมีกฎกติกาหรือวิธีทำงานที่ล้าหลัง นี่คือข้อตระหนักที่ผมบอกตัวเองสมัยทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เมื่อ ๔๐ ปีก่อน เป็นแรงขับดันให้ผมออกมาริเริ่มงานใหม่ที่ สกว. ในปี ๒๕๓๖
ข้อเรียนรู้ที่สอง มาจากคำบอกเล่าของ ศ. ซัตตัน ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นผลผลิตของงานวิจัย ๗ ปี ที่ตอนเริ่มต้นมีสมมติฐานสองข้อ และต่อมาพิสูจน์ว่าทั้งสองข้อเป็นความคิดที่ผิด สมมติฐานข้อแรกคือ แรงเสียดทานเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะต้องหาวิธีขจัด พบว่าผิด จริงๆ แล้วมีทั้งแรงเสียดทานที่ดีและที่เลว ตัวอย่างแรงเสียดทานที่ดี เช่น แรงเสียดทานต่อพฤติกรรมที่ไร้ศีลธรรมจรรยา หน้าที่ของผู้บริหารคือ ทำให้แรงเสียดทานเลวหมดไปหรือออกฤทธิ์ยาก และให้แรงเสียดทานดีออกฤทธิ์ง่าย
ข้อเรียนรู้ที่สาม ผู้บริหารที่เก่ง จะหาทางทำให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่รู้สึกสบายไปพร้อมๆ กันกับมีผลงานดี โดยหาทางลดงานหรือขั้นตอนของงานที่ไม่สำคัญหรือไม่จำเป็นลงไป และหันไปให้ความสำคัญต่องานหรือขั้นตอนที่มีความสำคัญ วิธีการที่เขาแนะนำคือ subtraction game ให้ผู้บริหารระดับกลางช่วยกันเสนอการลดขั้นตอนของงาน
ข้อเรียนรู้ที่สี่ งานจะดีเมื่อการสื่อสาร และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานย่อยดี คือผู้บริหารต้องเน้นสร้าง coordination ระหว่างหน่วยงานย่อย
ข้อเรียนรู้ที่ห้า อย่าหลงมุ่งทำงานให้เสร็จเร็ว จนเกิดความเหนี่อยล้าและหมดแรง คนฉลาดเขาจะทำงานที่ไม่สำคัญอย่างรวดเร็ว แต่ทำงานสำคัญอย่างช้าๆ ไตร่ตรอง เพื่อให้ผลงานออกมาดี
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ก.พ. ๖๗
ไม่มีความเห็น