ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีวาระลับจากคณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ ที่เมื่ออ่านแล้วเกิดความคิดสู่การเขียนบันทึกนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า กลไกด้านการกำกับดูแลองค์กรนั้น ต้องทำหน้าที่เลยจากการกำกับให้การดำเนินกิจการเป็นไปตามกฎหมาย
ต้องใส่มิติด้านมนุษยธรรมเข้าไปด้วย โดยเฉพาะด้านความเห็นอกเห็นใจ (empathy) ในฐานะที่เขาเป็นเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
ในกรณีนี้ ผมเห็นชัดเจนว่าเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎระเบียบที่ออกมาใช้ในบริบทหนึ่ง (จบปริญญาเอก) แต่อาจารย์ท่านนี้เข้ามาเป็นอาจารย์ในอีกบริบทหนึ่ง (จบปริญญาตรี เรียนเก่ง คณะรับมาเพื่อส่งไปเรียนต่อปริญญาเอก) ท่านโดนบังคับใช้กฎที่ว่าหลังเป็นอาจารย์ต้องได้ ผศ. ภายใน ๕ ปี และผ่อนผันให้อีก ๒ ปี แต่ท่านไปเรียนต่อราวๆ ๕ ปี เวลานี้โดนนับด้วย ท่านจึงโดนระงับการขึ้นเงินเดือนและจะโดนให้ออก ดีแต่ท่านได้ ผศ. ทันจึงยังไม่โดนให้ออก
เมื่อท่านส่งคำอุทธรณ์หรือร้องทุกข์ เรื่องไปถึงคณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์ ที่ทำงานด้านความทุกข์ที่เกิดจากความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา แต่กรณีนี้ไม่ใช่ คณะกรรมการอุทธรณ์และร้องทุกข์จึงมีมติว่า ไม่ใช่เรื่องที่คณะกรรมการจะพิจารณา
โชคดีที่เรื่องเข้าสภาในฐานะเรื่องแจ้งเพื่อทราบ เกิดมีกรรมการท่านหนึ่งอยากทราบรายละเอียด จึงต้องกลับไปค้นเรื่องและนำมาเสนอในการประชุมสภาครั้งหลัง และพบว่าเป็นเรื่องความทุกข์จากการโดนระงับการขึ้นเงินเดือน อันเกิดจากการบังคับใช้กฎระเบียบแบบแข็งที่อ โดยไม่คำนึงถึงสถานการร์ต่างสมมติฐานในกฎระเบียบ
ผมเสนอให้สภามีมติให้ฝ่ายบริหารไปหาทางคืนเงินเดือนที่ถูกลดไป เพื่อแสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีกลไกรับรู้ความทุกข์อันไม่ควรเกิดของผู้ปฏิบัติงาน แม้เขาจะไม่ได้ร้อง
กรรมการท่านอื่นก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของผม และมีความเห็นว่า ควรปรับปรุงกฎระเบียบนั้น ให้ครอบคลุมกรณีของการเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ที่มีความแตกต่างหลากหลาย
วิจารณ์ พานิช
๒ เม.ย. ๖๗
ไม่มีความเห็น