"มีงานประจำยุ่งจนทำไม่ไหวอยู่แล้ว จึงไม่ว่างทำ KM" เป็นคำกล่าวมาตรฐาน ที่มักได้ยินจากข้าราชการทั่วไป ที่ถูก กพร. บังคับ ให้ต้องทำ KM
คนในบริษัทเอกชน ก็มักพูดว่า "แค่ QCC, BSC, Six Sigma, TQA, 5ส. ก็ยุ่งพออยู่แล้ว KM อีกแล้วเหรอ"
นี่คือถ้อยคำที่แสดงว่าเราเข้าใจผิดกันเป็นส่วนใหญ่ เรามอง KM เป็นเป้าหมาย ต้องทำ KM เพราะถูกกำหนดหรือบังคับ KM เป็นภาระที่ต้องทำ ได้ยินคำว่า KM ก็แน่นหน้าอก หรืออยากอ้วก เพราะมีเรื่องอื่นๆ ตามตัวอย่างข้างต้นแน่นขนัดอยู่แล้ว
ต้องแก้เสียใหม่ เลิกคิด "ทำ KM" หันมาคิดใหม่-ทำใหม่ คือ "ใช้ KM" เพื่อทำให้งานประจำได้ดีขึ้น สบายขึ้น อึดอัดขัดข้องน้อยลง หรือเปลี่ยนที่ทำงานจากนรก ให้เป็นสวรรค์ ตกลงเราไม่ทำ KM นะครับ เราทำงานประจำ แล้วใช้ KM มาเป็นเครื่องมือพัฒนางานประจำ ใช้ KM มาช่วยให้ตัวเราสบายขึ้น มีความสุขจากงานมากขึ้น มีโอกาสก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น มีความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น
พูดใหม่ว่า ใช้ KM ทำให้ตัวเราเองและเพื่อนร่วมงาน เป็น "บุคคลเรียนรู้" (Learning Person) และหน่วยงาน เป็น LO - Learning Organization รวมทั้งให้หน่วยงานมีผลงานดี มีคุณภาพ มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เป็นวัฒนธรรมแนวราบ มีการสื่อสารปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ ที่เน้นการชื่นชมยินดีในความสำเร็จเล็กๆ ของกันและกัน มีการนำเอาวิธีการทำงานดีๆ ของเพื่อนร่วมงานไปปรับใช้กับงานประจำของตนเอง แล้วเอาประสบการณ์นั้นออกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมงาน เป็นวงจรหรือวัฏจักรไม่สิ้นสุด
วิจารณ์ พานิช
๑๑ มค. ๕๐
อยู่ที่ความเข้าใจ เชื่อว่า ปัญหาเขาคงคุ้นเคยกับ การสั่งการ หรือ ความเป็นทางการ จึงเข้าใจว่ายุ่งยากครับ.
เมื่อวานนี้ ที่ ม.อ.ใช้ km เป็นเครื่องมือในการจัดเวทีหัวหน้าภาควิชา..."บ่มเพาะนักศึกษา:สมุดความดีของภาควิชาจุลชีววิทยา" บรรยากาศดีเชียวค่ะ...ท่านอธิการบดีชม...เป็นงานเดิมที่ทำอยู่แต่เปลี่ยนวิธีมาใช้ KM....เป็นเครื่องมือ
หนูคิดว่า KM ที่เหมาะสมกับเรา คือ การเรียนรู้จากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกน้องเรา ผู้บังคับบัญชา ถ้าเรียนรู้ที่จะให้และรับ KM ก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาค่ะ
ภัทร