หลังจากได้อ่านสรุปสาระสำคัญของหนังสือ As The Future Catches You ที่แปลเป็นไทยว่า "เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ" ซึ่งเขียนโดย Juan Enriquez ซึ่งดำรงตำแหน่ง Director of the Life Sciences Project ที่ Harvard Business School ที่ก่อนหน้านี้พยายามจะอ่านให้จบแต่ก็ไม่จบซักที จนมีนักศึกษาถือเอกสารที่เป็นสรุปสาระสำคัญมาให้ช่วยตีความ เพราะเต็มไปด้วยภาษาอังกฤษที่เป็นศัพท์เทคนิค และในบางประโยคก็มีใจความแฝง อ่านไปอ่านมาก็เลยคิดว่าคงต้องไปอ่านต่อให้จบ
จริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเข้ามาในประเทศไทยตีพิมพ์ประมาณปี 2546 ก็ถือว่าตัวเองตกยุคพอสมควรที่ยังไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบซักที เพราะหนังสือได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับคำนิยมจาก พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทำเอาผู้บริหารทั่วประเทศไทยเป็นตัองหามาอ่าน รวมถึงสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ก็นำมาเป็นหนังสือประกอบการเรียนกันเป็นแถวๆ
ประเด็นที่สนใจหลังจากได้อ่านไปด้วย ตีความ (ตามความเข้าใจของตัวเอง) ไปด้วยในวันนี้ (27 ม.ค.2550) คือเรื่องของ "The New Rich and The New Poor" ที่อยู่ในบทที่ 3 ของหนังสือ โดยในเนื้อหารระบุว่าความแตกต่างในเรื่องของ "การศึกษา" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ "Scientific Literacy" นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องความมั่งคั่ง (scientific literacy คือการสั่งสมความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ : ประมาณว่าแปลเองค่ะ) นอกจากนั้นเศรษฐกิจโลก (World Economy) ก็เปลี่ยนไปจากเดิม คือภาคการเกษตรมุ่งสู่ภาคบริการมากขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะของ Knowledg Ecomony (ระบบเศรษฐกิจที่มีรากฐานของการใช้องค์ความรู้....อันนี้ก็แปลเอาเอง)
ที่นาสนใจอย่างยิ่งคือ มีการเปรียบเทียบตัวเลขผลผลิตของทั่วโลก (Global Production) ซึ่งแบ่งสัดส่วนหลักๆ เป็น ผลผลิตทางการเกษตร (Agriculture) อุตสาหกรรม (Manufacturing) และ บริการ (Service) ในช่วงปี 1960 กับปี 1998 ที่พยายาม load แผนภูมิที่เค้าใช้ประกอบมาให้ดูค่ะ .... แต่ไม่สำเร็จ
เอาเป็นว่าสรุปตัวเลขแล้วกัน สัดส่วนผลผลิตของโลกในปี 1960 แบ่งเป็น ผลผลิตทางการเกษตร 30% ผลผลิตอุตสาหกรรม 32% และผลผลิตด้านการบริการ 38%
ปี 1998 สัดส่วนผลผลิตของโลกเป็นผลผลิตทางการเกษตร 4% ผลผลิตทางอุตสาหกรรม 32% และผลผลิตทางด้านบริการ 62%
ถ้ามองเผินๆ ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่า นับวันบทบาทของผลผลิตทางการเกษตรจะด้อยความสำคัญลงเรื่อยๆ ในตลาดโลก. โดยเฉพาะในเรื่องของความด้อยมูลค่า (Value) ...ขณะที่ผลผลิตที่ใช้บุคลากรที่มีความรู้อย่างเช่นด้านบริการ ยิ่งทวีความสำคัญและเป็นที่ต้องการ ......เพราะตามมุมมองของ Juan Enriquez สิ่งที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีทำให้เศรษฐกิจโลกยืนอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินกิจกรรมการผลิตที่ใช้องค์ความรู้ (Knowledge Economy) พร้อมกับตอกย้ำว่า
คนที่มีความรู้จะทวีความสำคัญ ขณะที่แรงงานขาดทักษะจะยิ่งด้อยค่า "The knowledge component become more important, and manual worker labour has less vauable"
แล้วอนาคตสินค้าเกษตรจะเป็นอย่างไร.......เกษตรกรไทยจะต้องทำอะไรจึงจะอยู่ได้......จะมีพื้นที่สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลักและเต็มไปด้วยแรงงานขาดทักษะ ในระบบเศรษฐกิจโลกหรือไม่......
อย่างไรก็ตาม...ในมุมมองของข้าพเจ้า.....ในบรรดาข้อมูลแวดล้อมที่ทำให้ Juan Enriquez สรุปทิศทางของเศรษฐกิจโลกไว้เช่นนั้น ก็ยังมีช่องเล็กๆ ที่ประเทศเกษตรกรรมอย่างเราพอจะหลุดรอดออกไปได้... คือเป็นข้อสงสัย..เล็กน้อยที่เกิดขึ้น ว่า ถ้าสัดส่วนผลผลิตเกษตรในโลกลดความสำคัญลงเหลือเพียงแค่ 4% แล้วคนในโลกที่มีอัตราการขยายตัวของประชากรเป็นทวีคูณจนมากกว่า 6,000 ล้านคนในปี 1999 กินอะไร........
...........เนื้อหาการอภิปรายยาวมากค่ะ...โปรดติดตามตอนต่อไป .......
ไม่มีความเห็น