คริส การ์ดเนอร์ เซลล์แมนลูกติดที่ล้มเหลวในอาชีพ เมียทิ้ง ไร้บ้าน ต้องหอบหิ้วลูกชายอายุ ๕ ขวบตะลอนไปแย่งที่ซุกหัวสำหรับคริส นอนตามบ้านพักอนาถาของรัฐ นิยามความสุขของเขาคือ การที่บริษัทโบรคเกอร์บอกรับเขาเข้าทำงาน หลังจากการฝึกหัดงานอย่างยาวนาน นั่นหมายถึงว่าเขาจะมีบ้าน มีอาหารสำหรับตัวเองและลูก
หนังเริ่มเรื่องด้วยการบอกผู้ชมว่า “หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของผู้ชายคนหนึ่ ง”
คริส การ์ดเนอร์ เป็นเซลล์แมนขายเครื่องสแกนกระดูก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาเข้าไปพบลูกค้าที่เป็นหมอแล้วถูกปฏิเสธ หนี้สินมากมายรอจ่าย นานวันเข้าเขากลายเป็นคนที่ล้มเหลวในสายตาเมีย วันหนึ่งเธอก็ทิ้งเขาไป เหลือเพียงลูกชายให้เขาดูแล วันนั้นเองที่คริสถูกตามไปสัมภาษณ์ที่บริษัทโบรคเกอร์ใหญ่เพียงเพื่อจะถูกคัดตัวเป็นพนักงานฝึกงาน ๒๐ คนที่ไม่ได้รับเงินตอบแทนจากจำนวนผู้สมัครนับพัน และมีเพียง ๑ คนจาก ๒๐ คนเท่านั้นที่จะถูกเลือกเข้าเป็นพนักงาน
ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดสำหรับคริสกับลูกชายคือช่วงฝึกงาน คริสถูกไล่ออกจากบ้าน ไปเช่าห้องในโรงแรมก็ถูกไล่ออกจากห้องพัก เงินก้อนสุดท้ายในบัญชีถูกสรรพากรยึด กลางวันเขาไปฝึกงานที่บริษัท ตกเย็นเขาหอบหิ้วลูกชาย กระเป๋าเสื้อผ้า ไปอาศัยนอนตามบ้านพักอนาถา คืนหนึ่งเขากับลูกชายต้องซุกตัวนอนในห้องน้ำของสถานีรถใต้ดิน คริสไม่เคยยอมแพ้ และมุ่งมั่นไปข้างหน้าด้วยความเชื่อว่าเขาจะต้องเป็นพนักงานบริษัทโบรคเกอร์ตามที่เขามุ่งหวังให้ได้ วันแล้ววันเล่าที่คริสต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ และแล้ววันของเขาก็มาถึง
พลันที่ถูกเรียกเข้าไปพบผู้บริหารและได้รับรู้ว่า พรุ่งนี้เขาจะเดินเข้าบริษัทในฐานะพนักงานคนหนึ่ง น้ำตาแห่งความสุขเอ่อคลอ หนังจบลงที่ตรงนี้ และนี่คือนิยามแห่งความสุขที่คริส การ์ดเนอร์แสวงหา
คริส การ์ดเนอร์มีตัวตนจริง หนังบอกเล่าการต่อสู้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายชีวิตของชายคนหนึ่ง ที่หลังจากนั้นไม่นาน เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโบรคเกอร์ และมีฐานะในระดับเศรษฐี
หนังให้กำลังใจสำหรับคนที่ไม่ยอมต่อสู้ คนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง คริสพูดกับลูกชายในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดว่า “อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ต้องคว้ามันมาให้ได้ อย่ายอมให้ใครมาบอกว่านายทำไม่ได้”
ถ้าคุณเป็นนักดูหนัง คุณจะนึกถึงวิล สมิธ ในบทของตำรวจนักบู้ อารมณ์ดีที่วิ่งไล่ล่าผู้ร้ายอย่างแคล่วคล่อง คุณจะนึกไม่ออกว่าวิล สมิธ จะสามารถแสดงเป็น คริส การ์ดเนอร์ได้อย่างน่าประทับใจ กระทั่งได้เสนอชื่อชิงตำแหน่งดารานำชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสก้า นี่เป็นบทที่ดีที่สุดของเขา
ไปดูกันเถอะค่ะ แล้วคุณจะเดินออกจากโรงหนังอย่างสุขใจ.
บันทึกเมื่ออาทิตย์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๐