วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2550 เวลา 13.30 -16.00 น. ศาสตราจารย์พรชัย มาตังคสมบัติ : อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล แสดงทัศนมุมมอง เรื่อง พลังผลักดันและโอกาสของการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาไทย ในการอบรม นบม. ไว้ดังนี้
พลังผลักดันในทัศนะของผม หมายถึง ความคาดหวังของสังคมไทยต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งมี 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
- คาดหวังให้มหาวิทยาลัยสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ
- คาดหวังให้มหาวิทยาลัยช่วยภาคผลิต ภาคอุตสาหกรรม ให้ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
- คาดหวังให้มหาวิทยาลัยชี้นำประเด็นปัญหาสังคมอย่างรู้จริง และเป็นกลาง
การสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ
-
จำนวนมหาวิทยาลัยเปิดใหม่มีมากขึ้น สาขาวิชาใหม่ๆ มีมากขึ้น ดูเหมือนว่าจะดี ที่โอกาสในการศึกษาในระดับอุดมศึกษาสูงขึ้น แต่หลักสูตรที่เปิดรับนักศึกษาเยอะๆ รับเพียงเพื่อสร้างคนที่มีปริญญา ขยายในสาขาที่ขยายง่าย และไม่ต้องลงทุน ดังนั้น สัดส่วนของสาขาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศต่อสาขาที่ไม่จำเป็น มีค่าน้อยมาก ประมาณว่า 30 : 70 เพราะฉะนั้น ควรพิจารณากันให้ดี ว่าสังคมต้องการอะไรแล้วจึงลงทุน และคุมกำเนิดสาขาที่ไม่จำเป็น
-
คุณภาพของเด็กที่เข้าเรียน และที่จบจากมหาวิทยาลัยต่ำมาก เพราะระบบการศึกษาไทยเป็นระบบชอบเลียนแบบ เรา copy รูปแบบของยุโรปมาเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว ลักษณะของหลักสูตรแบบนี้ จะเป็นแบบ Fix curriculum เข้าสู่เนื้อหาเป็นลำดับขั้นแล้วค่อยไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้น วิธีการประเมิน คือต้องผ่านทุกวิชา เช่น แพทย์ เรียน pre-clinic ผ่านแล้วจึงต่อด้วย วินิจฉัย บำบัดรักษา ป้องกันโรค ดังนั้น ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เด็กต้องเรียนรอบรู้กว้างขวาง เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็จะได้เรียนเจาะลึกเลย
- การให้นักเรียน ม.ปลาย เลือกเรียน สายวิทย์ สายศิลป์ เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ทำให้เด็กสายวิทย์ไม่สนใจวรรณคดี ศิลปะ เด็กสายศิลป์ไม่สนใจการคำนวณ ต้องแก้ไขการเรียนการสอนมัธยมปลายให้รู้รอบ อย่าบีบให้แคบ
-
สำหรับมหิดล มีการปรับปรุงวิชาศึกษาทั่วไป 30 หน่วยกิต ตามมาตรฐานของทบวง แต่จะเปลี่ยนแนวคิด วิชา Introduction to….หรือ Elementary of …. ทั้งหลาย ให้เป็นชื่อวิชาน่ารู้ เช่น ฟิสิกส์น่ารู้ ชีวน่ารู้ เคมีน่ารู้ ฯลฯ ปูพื้นให้เพียงพอที่จะเป็นแก่นสารในการหาความรู้เพิ่มเติมในอนาคตได้ ซึ่งนิสิตทุกสาขาต้องเรียน รวมทั้งหมด 7 หน่วยกิต 9 หน่วยกิตสำหรับภาษา และอีก 14 หน่วยกิตให้แต่ละหลักสูตรไปพิจารณากันเอาเอง
-
บ่มฟักคนรุ่นใหม่ให้โตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ด้วย ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้แทรกซึมในทุกวิชา โดย ม.มหิดล ดึงเอาอาจารย์ทั้งเก่าและใหม่ โดยเฉพาะอาจารย์ใหม่จับกลุ่ม 5-6 คนจัดสัมมนา เตรียม trainer ทำให้อาจารย์ทุกคนเข้าใจปรัชญาของการสอนเด็ก เรื่องไตรสิกขา เรียกว่า จิตตปัญญาศึกษา ผมยินดีต้อนรับทุกเครือข่ายครับ
-
ม. มหิดล ตั้งสถาบันนวัตกรรมและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ซึ่งต่างจากคณะศึกษาศาสตร์ หรือคณะครุศาสตร์ เพราะคนสอนไม่ใช่ตัวตั้งของการเรียนรู้ ศิลศาสตร์ของการเรียนรู้ ต้องเป็นของจริง Real Experience Learning เรียนรู้ประสานกับทุกแขนงวิชา เป็นการเตรียมเด็กให้จบไปรู้จริง ทำงานได้
การบริการวิชาการของมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยภาคผลิต ภาคอุตสาหกรรม ให้ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
- ปัจจุบันมหาวิทยาลัยของรัฐ (ทั้งแบบส่วนราชการและแบบในกำกับ) ใช้จ่ายเงินกับการเรียนการสอนมาก โดยรัฐให้เงินอุดหนุนอยู่ 70% ของค่าใช้จ่ายจริง อีกเพียง 30% ได้จากค่าลงทะเบียนของนิสิต
- มีความเข้าใจอย่างผิดๆ เกี่ยวกับการออกนอกระบบเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับว่า รัฐบาลจะไม่สนับสนุนงบประมาณอีกต่อไป เพราะเข้าใจว่าเป็นการแปรรูปเป็นบริษัท (privatization) มหาวิทยาลัยจะเก็บค่าลงทะเบียนนิสิตสูงขึ้น
- ม.มหิดล แม้จะได้รับงบประมาณสูง (ปี 50 ได้ 7 พันกว่าล้านบาท) แต่จริงๆ แล้วรายจ่ายสูงกว่ามาก ( ปี 50 ต้องจ่าย 2 หมื่น 8 พันกว่าล้านบาท) ต้องหาเงินมาเพิ่มเองอีกเยอะ ซึ่งแหล่งที่ได้มากที่สุด คือ เงินทุนวิจัย นอกนั้นก็มี ทรัพย์สินทางปัญญา และการบริการวิชาการอื่นๆ
- อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องทำงานวิจัย สร้างนวัตกรรม ต้องทำให้ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมเห็นว่า เอาไปใช้ประโยชน์ได้ อาจารย์ที่ทำวิจัย จะสอนได้ดีกว่าอาจารย์ที่ไม่ได้ทำงานวิจัย
- ม.มหิดล กำหนดชัดว่า ผลงานวิจัยของบุคลากรของม.มหิดล ต้องเป็นของมหาวิทยาลัย แต่ผู้สร้างผลงาน และมหาวิทยาลัย จะปันผลประโยชน์กัน 50 : 50 ถ้าเป็นลิขสิทธิ์แต่งตำรา ผู้เขียนได้ 70% คนจัดพิมพ์ 20% มหาวิทยาลัย 10% แต่ถ้าเจ้าของผลงานพิมพ์เองก็ได้ไป 90% มหาวิทยาลัย 10% โดยมหาวิทยาลัยมีหน่วยงานจัดการ และสอดส่องดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
- ในการที่รัฐจ่ายเงินอุดหนุนการศึกษา ป.ตรี แก่มหาวิทยาลัย 70% ก็เพราะถือว่า ผู้เรียนเป็นผู้ได้ผลประโยชน์เมื่อเรียนจบมีงานทำ ดังนั้นต้องจ่ายเองบางส่วน แต่แนวคิดเรื่องบัณฑิตศึกษานั้น รัฐจะคิดว่าผู้เรียนได้รับประโยชน์ทั้งหมด แล้วไม่สนับสนุนเลย ก็ไม่ถูกทั้งหมด มีบางสาขาที่ได้ประโยชน์เต็มที่ เช่น MBA แต่บางสาขานั้นเป็นการผลิตนักวิจัยให้กับประเทศด้วย รัฐไม่ควรสนับสนุนแต่คนไปเรียนนอก เพราะเหมือนเสียเงินไปจ้างฝรั่งมาสอนให้เรา ควรสนับสนุนการผลิต ป.โท ป.เอก ในประเทศด้วย เพื่อจะได้พึ่งตัวเองได้มากขึ้น โดยสนับสนุนในสาขาที่จำเป็น ทำให้มีผลงานวิจัยเป็นปึกแผ่น
- มหาวิทยาลัย จะต้องสร้างศรัทธาให้เกิดกับภาคการผลิตก่อน เช่นเริ่มจาก เข้าไปช่วยวิเคราะห์การใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เหมาะกับบริบทของเราหรือพื้นที่ของเรา คอยให้ความช่วยเหลือแก้ไขเวลามีปัญหาทางเทคนิค ปรับให้เป็นแบบของเราเอง ในที่สุดก็พัฒนาแบบใหม่ขึ้นมา ยึดหลัก sti : skill technology transfer และ innovation
- แทนที่บริษัทจะต้องจ่ายเงินให้ต่างประเทศ ในการนำเข้าเทคโนโลยี หรือผู้เชี่ยวชาญ ก็จ่ายให้มหาวิทยาลัยแทน มหาวิทยาลัยก็จะได้เงินมาพัฒนา และยืนบนขาตัวเองได้
-
BOI เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่สนับสนุนการสร้างงานของมหาวิทยาลัยโดยอ้อม โดยงดเว้นภาษีให้กับบริษัทที่ให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่มหาวิทยาลัย
การชี้นำประเด็นปัญหาสังคมอย่างรู้จริง และเป็นกลาง
- ขณะนี้ สังคมหิวโหยผู้ที่มีความรู้ที่จะหาทางออก เพราะสังคมไทยมีคนให้ความเห็นเยอะมาก บางทีก็เป็นความเห็นมุมเดียว บางทีบอกว่าเป็นข้อสรุป แต่จริงๆแล้วเป็นความเห็นส่วนตน
- มหาวิทยาลัยชี้นำประเด็นปัญหาสังคมอย่างรู้จริง และเป็นกลางได้ โดยการเปิดเวทีสาธารณะ และเชิญผู้มีประสบการณ์จากหลากหลายสาขามาพูดคุยกัน โดยเวทีนี้ต้องมีกติกา เช่นไม่กล่าวร้าย หรือโจมตีบุคคลใด สามารถให้ข้อคิดเห็นแตกต่างกันได้ เอาชนะกันด้วยเหตุผล
- ตัวอย่างเรื่องที่ ม.มหิดล เคยจัด ได้แก่
• ความหลากหลายทางศาสนา วัฒนธรรม ภาษาและชาติพันธุ์ เป็นปัญหาหรือเป็นทุนทางสังคม
• ศาสนเสวนา : พุทธ – อิสลาม
• FTA โอกาสทางการค้า หรือ กับดัก
• เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา : เศรษฐกิจพอเพียง
ฟังแล้วปิ๊งอะไรบ้าง?......