เคยทำหน้าที่ไปส่งคนไข้ตรวจที่โรงพยาบาลไหมคะ บันทึกนี้ตั้งใจจะเล่าประสบการณ์การทำหน้าที่ของการเป็น "ญาติ" ที่ไปส่งคนไข้ ว่าควรมีความพร้อมและมีการวางตัวอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมสำหรับตัวเองและสามารถเป็นหลัก เป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนไข้ที่เราไปส่งด้วยค่ะ ประสบการณ์ตรงนี้เป็นประสบการณ์ในฐานะที่ได้ทำหน้าที่เป็น ญาติไปส่งตรวจบ่อยครั้งค่ะ และมักจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐด้วย
ทันทีที่มีคนไข้หรือคนเจ็บป่วยในบ้านหรือในครอบครัว สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ประเมินความรุนแรง เพื่อที่จะได้คิดคำนวณว่า ควรไปที่ห้องฉุกเฉินหรือห้องตรวจทั่วไป โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดหรือโรงพยาบาลที่คิดว่าดี สามารถเบิกจ่ายค่ารักษาได้ หรือว่า สะดวก ส่วนนี้สำคัญค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในใจระหว่างญาติ ระหว่างกระเป๋าเงินที่ต้องจ่าย เมื่อชั่งใจให้รอบคอบแล้ว คนเป็นญาติควรเตรียมการณ์ต่อไป
อันดับที่ 2 เตรียมตัวก่อนไปส่งตรวจ ญาติควรกินข้าวให้อิ่มก่อน กินยา(ถ้ามี)ให้เรียบร้อย จะตระหนกจนลืมตัวไม่ได้ค่ะ เตรียมน้ำขวด ขนม ลูกอม ยาดม กระดาษชำระม้วนเล็กๆ ถุงพลาสติกใส่ของ ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ใส่เป้ค่ะ ..การเตรียมตรงนี้สำคัญค่ะ ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลเกือบทุกที่มีของพวกนี้ขาย แต่ญาติที่ไปส่งคนไข้คงไม่อยากทิ้งคนไข้ไว้ตามลำพังขณะรอตรวจ การใส่ของในเป้หรือถุงผ้าที่สามารถสะพายได้จะดีกว่าใส่ถุงหิ้ว เพราะบางครั้งญาติอาจจะต้องเป็นคนลากรถเข็นไปเอกเรย์ หรือไปห้องเจาะเลือดเองเวลาที่เจ้าหน้าที่ยุ่งมากๆค่ะ ดิฉันพบว่าทุกครั้งที่ไปส่งคนไข้ตรวจจะต้องกินข้าวให้อิ่มและมีความพร้อมทางกายพอสมควร เพราะบางทีหน้าห้องตรวจไม่มีเก้าอี้ให้นั่งก็ต้องยืนทนได้ด้วย อาจจะเห็นว่าเตรียมของน่าสงสัยหลายอย่างด้วย เช่นถุงพลาสติก คือบางครั้งระหว่างรอ คนไข้อาจจะไอ จาม มีเสมหะ ไม่สะดวกลุกไปบ้วนก็ให้บ้วนใส่ถุงนั้นแหละ หรือบางทีต้องขึ้นนอนเปล ก็เก็บรองเท้าใส่ถุงยัดเข้าในเป้ได้เลยไม่ต้องหิ้ว
อันดับที่ 3 รอตรวจ ญาติควรถามพยาบาลถึงคิวตรวจและเวลาที่หมอมาตรวจ เพื่อที่จะไม่กังวลหากอยากไปเข้าห้องน้ำ และบางครั้งคนไข้ก็จะกระวนกระวายว่ารอนาน คนที่เจ็บป่วยส่วนมากมักจะนั่งก็ไม่เป็นสุข และต้องการตรวจให้เสร็จๆ เร็วๆ ก็จะได้บอกคนไข้ได้ว่าได้คิวตรวจที่เท่าไหร่
อันดับที่ 4 ขณะหมอตรวจ ควรเข้าไปฟังหมออธิบายคนไข้ด้วย เพราะในภาวะป่วย คนไข้มักจะมีสมาธิฟังหมอได้ไม่นานและอาจจะรับรู้ได้ไม่หมด การทำหน้าที่ญาติก็คือเข้าไปฟังถ้าหมออนุญาต และส่วนไหนที่สงสัยเช่นการต้องดูแลต่อ ควรทำอย่างไร เมื่อหมอให้ยาไปแล้ว จะต้องระวังอาการอะไรอีกบ้าง อีกกี่วันควรกลับมาใหม่ โรคจะหายขาดไหม หมอวางแผนอย่างไรต่อ ดูเหมือนจุกจิกจู้จี้ใช่ไหมคะ แต่ความจริงถ้าญาติสามารถถามเรื่องการดูแลได้และดูแลถูกวิธีจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้เร็วค่ะ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีหมอหรือพยาบาลคนไหนไม่อธิบายค่ะ ยิ่งถามเรื่องการปฏิบัติตัว ส่วนมากมักจะอธิบายกันเต็มที่
อันดับที่ 5 เมื่อตรวจเสร็จ และทราบผลการวินิจฉัยแล้ว โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคเรื้อรัง ช่วงเวลานี้สำคัญค่ะ เพราะคนไข้มักจะเกิดความสงสัย ว่า ใช่หรือ ไม่ใช่มั้ง ที่เกิดอย่างนี้เพราะไปทำอย่างนั้นมั้ง ในฐานะญาติจะไม่เถียงค่ะ เพื่อให้คนไข้ได้พูดสิ่งที่คิดออกมาดังๆ ส่วนมากพูดสักพัก (คืออาจจะหลายวัน) และมักจะตัดสินใจบอกคนอื่นเองว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ซึ่งถึงแม้ญาติที่ไปส่งตรวจจะรู้ว่าเป็นโรคอะไรแน่ แต่ก็ต้องให้สิทธิคนไข้ในการเปิดเผยข้อมูลของตัวเอง พอผ่านไประยะหนึ่ง ธรรมชาติของคนก็คือจะเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรค การปฏิบัติตัว และมีใครบ้างที่มีอาการเหมือนกัน แม้แต่คนที่ปฏิเสธโรคก็ยังมีการหาข้อมูลค่ะ อาจจะผ่านการฟัง การคุย การแอบอ่านหนังสือ การทดลอง การสังเกตตัวเอง ถ้าคนเป็นญาติให้ความเข้าใจและไม่บีบบังคับเกินไป จะไม่เกิดความขัดแย้ง แต่จะค่อยๆโน้มนำมาปฏิบัติให้เหมาะกับตัวเขามากที่สุด หน้าที่ของญาติคือให้กำลังใจและจัดหาข้อมูลที่ง่าย สะดวก และผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
อันดับที่ 6 ถ้าอาการของโรคหนักหนา หรือก้ำกึ่ง สีหน้าท่าทางของญาติสำคัญค่ะ เพราะคนไข้จะจับสังเกตว่าอาการของตัวเองรุนแรงมากหรือน้อยจากสีหน้าของคนที่ไปส่งตรวจนั่นแหล่ะค่ะ บางครั้งอาจสงสัยแล้วบ้างจากหน้าตาท่าทางของหมอและพยาบาล แต่คนไข้จะสังเกตหน้าตาของญาติมากที่สุด ญาติต้องตั้งสติให้ดี ให้เกิดความสงบให้มากที่สุด ประสบการณ์ของดิฉันคือท่าทีที่สงบทำให้เกิดกำลังใจแก่คนไข้ค่ะ บางทีญาติคนอื่นๆที่ไม่รู้อาจจะสงสัยและโวยวายไม่พอใจเรื่องการตรวจรักษาหรืออาการที่ไม่ดีขึ้นเร็วเท่าที่ต้องการ ตรงนี้ต้องพยายามวางเฉยและสงบเข้าไว้ เมื่อมีสักคนโดยเฉพาะคนไปส่งตรวจมีท่าทีสงบแล้ว คนอื่นๆ จะเริ่มหายเครียดและปรับพฤติกรรมได้ด้วย บางครั้งจำเป็นต้องคุยกันเองในระหว่างญาติว่า ต้องให้กำลังใจคนไข้อย่างไรด้วย
ที่เล่ามาเฉพาะการส่งตรวจที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกค่ะ ไปส่งคนไข้ตรวจ ไม่ใช่ไปเป็นเพื่อนอยู่ด้วยตอนตรวจเท่านั้นนะคะ บทบาทคนไปส่ง พฤติกรรม ความพร้อมทั้งการเตรียมตัวและความพร้อมทางอารมณ์จะมีผลต่อกำลังใจของคนไข้ และการดูแลต่อเนื่องด้วย ที่เขียนบันทึกนี้ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นพยาบาลแนะนำญาตินะคะ แต่เป็นฐานะคนที่ต้องทำหน้าที่ ญาติที่ไปส่งคนไข้ตรวจ ที่เห็นว่าบทบาทการไปส่งตรวจนี้สำคัญต่อคนไข้ และต่อคนเป็นญาติด้วยค่ะ
ท่านผู้อ่านละคะ เคยไปส่งใครตรวจในฐานะเป็นญาติบ้างไหมคะ มีประสบการณ์อย่างไรเชิญเล่าสู่กันฟังค่ะ...
ไปโรงพยาบาลแต่ละที
ขอบคุณค่ะ ครูบา ...ใจพองโตเลยค่ะ....
ขอบคุณบันทึกนี้ครับ
ช่วยคนที่จะต้องมีอันไปโรงพยาบาลได้มาก ทั้งผู้ป่วยและญาติ
ผมตอนนี้อยู่ในวัย ใกล้โรงพยาบาล จึงชอบใจอ่านเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจไว้
จะคัดไปบอกต่อ...
ขอบคุณครับ
คนไข้เยอะมากจริงๆครับ แต่ละวันทำงานยังกะผู้ใช้แรงงานก็ไม่ปาน แต่ก็สู้ๆครับ
ขอบคุณ อาจารย์
ว่าแต่นี่ปิดเทอมแล้ว ผมคงต้องผสมยาเคมีจนแขนโตแน่ๆ อิอิ เพราะคนไข้จะเยอะไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ครับ
เรียน อาจารย์พิชัย กรรณกุลสุนทร ดีใจค่ะที่ได้ทราบว่าบันทึกเป็นประโยชน์...
มีผู้เล่าให้ฟังว่า ในโรงพยาบาลจีน ใบให้คนไข้เซ็นยินยอมรับการรักษาเขาจะมีข้อความว่า "แล้วแต่ฟ้าดินลิขิต"...ฟังดูเป็นอย่างไรบ้างคะ...
ขอบคุณค่ะ คุณนักลงทุนเงินน้อย มีข้อเตือนใจบรรดาผู้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลคือ ระยะปิดเทอมถ้าไม่สบายเล็กๆน้อยๆ อย่าไปโรงพยาบาล เพราะคนไข้จะเยอะ....(ข้อสำคัญทั้งหมอและพยาบาลจบใหม่ๆ ทั้งน้าน...อิอิ)
หวังว่าคุณป้าของคุณสุขสบายดีแล้วนะคะ
คุณป้าไปสบายแล้วครับ ไม่ต้องทนทรมารบนโลกใบนี้เหมือนเราแล้ว เราก็ต้องสู้ต่อไปเรื่อย จนหมดลมหายใจ เฮ้อ....
ขอบคุณพี่จันทรรัตน์ ที่เป็นห่วงครับ
ขอแถมอีกนิดนะครับ อาจารย์จันทรรัตน์ครับ
ถ้าจำเป็นต้องส่งต่อการดูแลให้ญาติคนอ่ื่นต่อ ควรถ่ายทอดข้อมูลที่รับทราบจากคุณหมอ คุณพยาบาลที่ฟังมาอย่างครบถ้วนด้วยครับสวัสดีค่ะ น้องนักลงทุนเงินน้อย (อิอิ..รีบฉวยโอกาสเรียกว่าน้อง)
เสียใจด้วยค่ะ ..เหลือแต่เราผู้ยังต้องวนเวียนไปจนกว่าจะถึงกาลของตัวเอง...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...เศร้าจัง...
สวัสดีค่ะ อาจารย์ เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี ชอบของแถมของอาจารย์ค่ะ...
ค่ะ ส่วนมากในครอบครัวใหญ่จะเป็นอย่างที่อาจารย์แถมค่ะ ที่ คนไปส่งตรวจไม่ใช่คนดูแลประจำ คนดูแลก็เวียนกันดูแล พรายกระซิบเลยเกิดเช่นนั้นเอง
เจอลักษณะคล้ายกันค่ะคือญาติก็กำลังกังวลรับข้อมูลจากหมอก็ไม่เต็มที่ พอไปถ่ายทอดก็บวกความเห็นของตัวเองไปด้วยหรือบางทีก็ลดสิ่งที่ควรสำคัญไป ไปให้สิ่งสำคัญกับเรื่องอื่น(ที่หมอไม่ได้เห็นว่าสำคัญ) พอส่งต่อกันเองก็เลยเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
อาจารย์แถมอีกป้ายเป็นคำถามต่อท้าย...หาทางออกอย่างไรดี...
ทำให้นึกถึงประสบการณ์ครั้งที่พากันไปส่งปู่ของพี่เขยตรวจแล้วได้รับรู้ว่าท่านเข้าสู่ระยะสุดท้ายของมะเร็งตับ...ตอนนั้นอาจารย์หมอนัดให้พาญาติที่มีหน้าที่ดูแลไปทั้งหมดแล้วเริ่มต้นอธิบายค่ะ ...เรื่องนี้ยังประทับใจค่ะ เพราะว่าใครสงสัยตรงไหนก็ถามๆๆๆ จนได้ข้อมูลสิ่งที่ต้องดูแลและอาการของโรคในขั้นต่อๆไปค่ะอาจารย์..ตอนนั้นการดูแลเลยไปทิศทางเดียวกันจนวาระสุดท้ายของท่านน่ะค่ะ
ขอบคุณที่อาจารย์แวะมาเพิ่มประเด็นที่สำคัญในการดูแลที่ต่อเนื่องให้ค่ะ