.
การมองโลกแบบไม่ขาวก็ดำหมายความว่า จะมีการคิดแบ่งเป็น สองขั้ว เช่น ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สำเร็จก็ล้มเหลว ซึ่งเป็นการมองโลกแบบเด็กๆ ที่มีแต่ความถูกกับความผิด ความดีกับความชั่ว พระเอกกับผู้ร้าย ซึ่งในชีวิตจริงๆ แล้วไม่ง่ายเช่นนั้นเพราะคนทุกคน มีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันอยู่ในตนเอง เราคงจะหาคนดีบริสุทธิ์ หรือเลวบริสุทธิ์ได้ยากโปรดอย่าลงโทษตัวเองและคนที่เรารู้จักหรือที่เรารัก โดยการมองโลกแบบสองขั้ว เพราะมันเป็นการสร้างเงื่อนไขแห่งความผิดหวังให้แก่ตัวคุณเอง
ที่มา:ส่วนหนึ่งของงานเขียนของ นวลศิริ เปาโรหิตย์
ทั้งหมดเป็น"นามธรรม" ที่ดีหรือชั่วก็เป็นสิ่งสมมุติ เป็นสมมุติบัญญัติ ที่สมมุติกันเพื่อให้คนแยกว่าสิ่งไหนควรกระทำหรือไม่กระทำ หากขอบของความชั่วยกระดับขึ้น ซึ่งผกผันกับจิตใจคน จนคนส่วนใหญ่เริ่มแยกไม่ออกว่าควรกระทำหรือไม่กระทำหรืออาจจะกระทำด้วยเหตุผลเพียงว่า ใครๆเขาก็ทำกัน เมื่อนั้นแหละสังคมจะถึงขั้นวิกฤติ
ดังนั้นหน้าที่ของพวกเราก็คือ พยายามยับยั้งไม่ให้ขอบของความชั่วยกระดับสูงขึ้นด้วยการหมุนกงจักรแห่งความจริงของธรรมชาติ โดยไม่แบ่งแยกดีชั่ว แบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนา และต้องไม่คิดว่าคนที่กระทำความผิดทุกคนเป็นคนชั่ว แม้กระทั่งคนที่ต้องคุกติดตาราง เพราะพวกเขาเหล่านั้น เพียงได้แต่หลงผิดเพราะไม่เห็นความจริงตามธรรมชาติ
หากพวกเราสามารถทำให้พวกเขาเหล่านี้ มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อความจริงของธรรมชาติแล้ว พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ของคนดี ซึ่งจะมีพลังแห่งความดี ที่มีมากกว่าคนดีที่ไม่เคยกระทำผิดอย่างประมาณไม่ได้
ในทางตรงกันข้ามกันหากสังคมส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยทำให้ทัศนะคติของบุคคลเหล่านี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาก็จะหลงผิดอย่างสุดโต่ง และเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เช่นโจรผู้ร้ายที่กระทำความผิดจนต้องเข้าคุกเข้าตะรางแบบซ้ำซาก และทุกครั้งที่ออกมาใหม่ก็จะก่อความผิดร้ายแรงกว่าเดิมอีกด้วย
วิวัฒนาการของการสังหารผู้ต้องโทษ ขั้นสูงสุดอาจไม่ใช่การประหารโดยนักโทษไม่เจ็บปวด แต่เป็นการสังหารมาร สังหารความไม่รู้ในจิตใจของเขาเหล่านั้นต่างหาก ประเทศที่สามารถทำแบบนี้ได้จึงควรถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าไปพัฒนาแบบลงแหวตามฝรั่งเขาเลย
จากปัญหาดังกล่าว จึงเป็นที่มาของแนวความคิดโครงการ "เรือนจำเรือนธรรม" และ "ราชทัณฑ์ ราชธรรม"
โครงการนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา และแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ให้บุคลากรมีความรู้ ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง มีทัศนคติที่ดีในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา มีทักษะ ประสบการณ์ และแนวการปฏิบัติธรรม ตามหลักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อการดำเนินชีวิตให้เป็นสุข เป็นประชาชนที่ดีของสังคมและประเทศชาติ เป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ ๑๑,๐๐๐ คน และผู้ต้องขัง ๑๖๐,๐๐๐ คน ทั้งในส่วนกลาง เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ
หากเรานำแนวความคิดโรงเรียนวิถีพุทธ มาประยุกต์ใช้กับ งานราชทัณฑ์ โดยจัดให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสทำวัตรเช้าเย็น และนั่งสมาธิในระยะเวลาสั้นๆโดยปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว แม้กายของพวกเขาจะต้องถูกกักขัง แต่ใจจะไม่โดนกักขังไปด้วยแน่นอน
การให้เครื่องมือป้องกันความหลงผิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ การให้“ธรรมมะ” ที่แปลว่าการให้ สภาวะความจริงตามธรรมชาติซึ่งจะทำให้ "ผู้หลงผิด" สามารถกลับตัวกลับใจ มาเป็นคนดีของสังคมได้อย่างแท้จริง
ผิดกับพวกเราที่กายไม่ได้โดนกักขัง แต่เรากลับขังกิเลสไว้ในใจอย่างมากมาย รอวันที่"กิเลส"จะแหกกรงขังออกมาทำร้าย "กาย"ทำร้าย "ใจ" ของผู้อื่นและตัวเราเอง
แนวความคิดโรงเรียนวิถีพุทธนี้ หากนำไปต่อยอดความคิด เราก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ โรงเรียนนายร้อยตำรวจและโรงเรียนเตรียมทหารได้ ซึ่งอนาคตของพวกเขาเหล่านี้จะต้องกลายเป็นผู้นำที่ดีของบ้านเมืองเราอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าขอสัญญาว่า ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะผลักดันแนวความคิดวิถีพุทธนี้ให้สำเร็จให้จงได้ แม้จะเป็นได้เพียงแรงผลักดันแรงเล็กๆก็ตาม
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางท่านอาจสงสัยเรื่องความหมายของคำต่างๆเช่นคำว่า คุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรม หากอยากจะรู้ "สมมุติับัญญัติ"ของคำศัพท์ที่แท้จริง ให้เปิดตำราของผู้รู้อ่านนะคับ
ธัมมิกสังคมนิยมของพุทธทาสภิกขุ
ที่คุมขัง...ที่ทุกข์ทรมาณมาก...สำหรับมนุษย์ก็คือ...
"ในใจ"...อันมืดมัวและหมองหม่นแห่งสืบผลมาจากการกระทำ...
เรามักนำเอาตัวเราเข้าไปสู่ที่คุมขังนี้อย่างไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา...
......
เราพาเราเข้าไปสู่ที่แห่งนี้ทุกวินาทีแต่เราไม่รู้ตัว...แต่กลับพยายามไปวิ่งจับเอาความชั่วของคนอื่น...มาคุมขังแทน...
ขอบคุณมากนะคะสำหรับ...บันทึกเรื่องนี้
(^____^)
กะปุ๋ม
'(^-------------------^)'
ผมยิ้มกว้างกว่า........... แข่งกันยิ้ม
ตอนนี้ก็ได้แต่คิดครับ ยังไม่มีปัญญาที่จะลงมือทำ....... เฮ้อ
สวัสดีคะ
ตามมาอ่าน และทำความรู้จัก คะ
อ่านแล้วถูกใจมากเลย สร้างสรรค์ชะมัด
โครงการ "เรือนจำเรือนธรรม" และ "ราชทัณฑ์ ราชธรรม"
"วิวัฒนาการของการสังหารผู้ต้องโทษ ขั้นสูงสุดอาจไม่ใช่การประหารโดยนักโทษไม่เจ็บปวด แต่เป็นการสังหารมาร สังหารความไม่รู้ในจิตใจของเขาเหล่านั้นต่างหาก "
คมมากๆ !
แม้แต่คนนอกเรือนจำอย่างเราๆก็เหอะ
บางที ใจ โดนกักขัง
หากใจโดนกักขังด้วยกิเลสก็ไม่ต่างอะไร เหมือนถูกจองจำ
สวัสดีครับคุณผึ้ง
ทุกคนสามารถคิดสร้างสรรค์เช่นนี้ได้ครับ
ยิ้มและเปิดใจเป็นผู้ให้
'(^-------------------^)'
มีตัวอย่างของสถานพินิจ ที่"ขังกายแต่ไม่ขังใจ"และน่าสนใจมากก็คือ
"บ้านกาญจนาภิเษก" ที่เริ่มต้นจากครูผู้หญิงท่านหนึ่งที่ต้องการดูแลและเยียวยาเด็กๆด้วยใจ
สาธุ
ขอสมัครเป็นเพื่อนทางlink ด้วยคะ
จะตามอ่านไปเรื่อยๆนะ