ใครมันจะรู้เรื่องทำงานได้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก่อนจะทำงานเป็น ต่างคนต่างก็ไม่เป็นมาก่อนทั้งนั้น บัวจะโผล่พ้นน้ำได้ ก็ต้องงอกมาจากดินที่อยู่ใต้น้ำทั้งสิ้น ไม่มีแบบลอยมาตามน้ำยกเว้นถูกตัดถูกถอนมาแล้ว
เรื่องนี้เป็นเช่นเดียวกับนักศึกษาฝึกงาน เมื่อเข้ามาทำงาน หากไม่มีใครประคับประคอง แล้วจะให้เป็นงานได้อย่างไร หากไม่สละเวลาพูดคุยให้แนวคิด จะหวังให้รู้เองได้หรือ (ถ้าทำได้ จะมาฝึกงานทำไม)
เราควรมองว่าการฝึกงานเป็นการลงทุนในคน แม้นักศึกษาฝึกงานจะไม่กลับมาทำงานที่ฝึกไปแล้ว แต่หากเราปรารถนาดีต่อเขาจริืงๆ ก็ควรแบ่งเวลามาช่วยดูแลบ้าง ให้โอกาสเขาได้ทำเต็มตามศักยภาพ เพื่อที่จะเป็นกำลังพัฒนาสังคมต่อไป
ในตอนที่ผมฝึกงานซึ่งไม่ได้เป็นเกณฑ์บังคับตามหลักสูตร ผมรับค่าจ้างในระดับที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ในขณะปัจจุบันทำเพียงไม่นาน ก็จะได้เงินนั้นแล้ว ไม่ได้อวดครับ ประเด็นคือคนเราเติบโตได้ เรียนรู้ได้ ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะแปลว่าอะไรก็ตาม อาจจะไม่มีใครรู้ได้ว่าคนที่เราฝึกจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
เป็นหน้าที่ของคนรุ่นก่อน ที่จะต้องส่งผ่านความสำเร็จ ความรู้ ประสบการณ์ ให้กับคนรุ่นต่อไป หากเราไม่เอาใจใส่ตั้งแต่ต้น เมื่อถึงวัยที่ไม่ได้ทำงานอีกต่อไป เราจะฝากบ้านเมืองไว้กับใคร?
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยมากๆ แต่ปัจจุบัน หลายๆหน่วยงานไม่ค่อยอยากรับศึกษาฝึกงาน เขาว่าเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย
เด็กจะเป็นงานได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกเขาค่ะ
สวัสดีครับ
ผมเห็นด้วยครับ ผมเองก็รับนักศึกษามาฝึกงานทุกปี และชอบที่จะพูดคุยกับเขา เพิ่มเติม และถ่ายความคิดเห็น ประสบการณ์ให้เขา เด็กบางคนก็ตั้งใจดี บางคนก็น่า......เสียจริง แต่ด้วยเหตุผลที่คุณกล่าว เราก็คิดอย่างนั้นจึงอภัยให้และตั้งใจถ่ายประสบการณ์ให้เขา
แต่มักจะมีเวลาฝึกงานน้อยไป ผมคิดว่าน่าที่จะฝึกงาน 3 เดือนไปเลย นี่ฝึกแค่ครึ่งเดือน น้อยเกินไปครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณคุณไพศาลครับ จากรูปในบันทึก ระฆังร้าว ถึงเสียงไม่เพราะ ก็ยังตีดังครับ
ผมเห็นด้วยว่าเวลาฝึกงานโดยทั่วไปนั้น สั้นเกินไปที่จะช่วยให้นักศึกษาได้ค้นพบตัวเอง แม้รับเข้ามาฝึกงานและเราพยายามให้โอกาสอย่างเต็มที่ เด็กก็จะได้อะไรไปไม่เท่ากันและไม่เท่ากับที่เราหวัง
เหมือนกับการเรียนในห้องเรียนนั่นล่ะครับ อาจารย์ก็สอนไป ส่วนเด็กจะได้อะไรไปนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่แม้เด็กจะไม่เข้าใจในขณะที่สอน หรือทำข้อสอบได้ไม่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้ที่เขาได้ไป (โดนที่โดนเกรดหลอกว่าไม่ได้อะไรมา) จะไม่มีประโยชน์ วันหนึ่งข้างหน้า อาจจะมีโอกาสที่เขางัดออกมาคิดจนเข้าใจและนำไปใช้ได้ครับ
สวัสดีค่ะ คุณConductor
ดิฉันได้ปิดเข้ามาอ่านบันทึกนี้อย่างตั้งใจค่ะ วันก่อนได้เข้ามาหนหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้โพสต์อะไร จนกระทั่งวันนี้ ที่ดิฉันออกจะเหนื่อยใจกับการฝึกเด็กๆ ที่หลั่งไหลกันเข้ามาฝึกงานในหน่วยที่ดิฉันรับผิดชอบนับยี่สิบสามสิบคน หลายคนในจำนวนเหล่านั้น แทบไม่ได้ถูกฝึกเรื่อง"พื้นฐาน"มาก่อนเลย นอกจากทำงานพื้นฐานได้น้อยมากแล้ว พื้นฐานในการเป็นคนทำงานที่ดี ยังหาได้ยากอีก
ทำให้ดิฉันปวดเศียรเวียรเกล้า และรู้สึกจนแต้ม หมดแรงที่จะฝึก เข็น เคี่ยว จากพื้นฐาน คือประมาณว่ารู้สึกยากเย็นเหมือนเข็นภูเขาขึ้นครก : )
แต่เพราะข้อคิดดีๆที่บอกเล่าอย่างเรียบง่าย เช่นข้างล่างนี้
"การฝึกงานเป็นการลงทุนในคน หากเราปรารถนาดีต่อเขาจริืงๆ ก็ควรแบ่งเวลามาช่วยดูแลบ้าง ให้โอกาสเขาได้ทำเต็มตามศักยภาพ เพื่อที่จะเป็นกำลังพัฒนาสังคมต่อไป"
ช่างเป็นประโยคธรรมดาที่เตือนใจได้อย่างดีเหลือเกิน ทำให้ดิฉันสำนึก กลับมามีเรี่ยวมีแรงเป็นกลุ่ม "อ๊อดฯ" ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
อยากเข้ามาขอบพระคุณด้วยใจจริงนะคะ : )
อ่านแล้วคิดได้หลายอย่าง......และเกิดอีกหลายคำถามตามมา ไร้นามขออนุญาตถามคำถามแรกว่า "การฝึกงานของนักศึกษา (คงหมายถึงระดับ ป.ตรี?)เขาเลือกสถานที่ฝึกเองหรือว่าอาจารย์เลือกให้"
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
อาจารย์แอมป์ : ยินดีที่อาจารย์ชอบและก็ต้องให้กำลังใจกันครับ
นักศึกษาฝึกงานเหล่านี้ ก็จะต้องรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไรไปอีกเยอะ โลกในอนาคตคงจะวุ่นวายกว่าในปัจจุบันมากทีเดียว หากเราไม่เตรียมคนให้พร้อมไว้ แล้ว คนรุ่นต่อไปคงลำบาก ลูกหลานเราคงลำบาก และเราก็คงลำบากตอนแก่ด้วยครับ
คุณไร้นาม : ที่บริษัทผมเปิดช่องไว้ทั้งปีครับ ธรรมดามหาวิทยาลัยจะขอความร่วมมือมา และมีจดหมายส่งตัวมา
มีอยู่รายหนึ่งมาจาก มอ.นะครับ พอกลับบ้านแล้วคุณพ่อโทรมาขอบคุณด้วย แต่เขาเก่งอยู่แล้ว ส่งไปลงตรงที่เขาชอบและจะใช้ประโยชน์ได้ด้วย
สองรายล่าสุด เรียน MBA ครับ (ผมแปลกใจเหมือนกัน) มาเมื่อซัมเมอร์นี้เอง ตอนกลับไปเค้าว่าได้ความประทับใจไปเยอะเหมือนกัน คือบริษัทผมมีของแปลกเยอะ!
มาคิดดู เท่าที่นึกหน้า+ประวัติออก เป็นนักศึกษาในกรุงเทพสัก 20% เท่านั้นเองนะครับ
วันนี้ที่บล๊อกภายในบริษัท มีบันทึกเป็นโน็ตสั้นๆ จากน้องฝึกงานจาก มอ.ครับ ผมแก้ไขข้อความที่ล้อมรอบด้วย [...] เพื่อเปลี่ยนศัพท์เฉพาะเป็นภาษากลางๆ แต่ใจความอยู่ครบครับ
สิ่งที่ได้จากการฝึกงาน“ ทำให้ได้สัมผัสถึงบรรยากาศ ของการทำงานจริงๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกเหนือจากความรู้ที่ได้ในห้องเรียน อย่างเช่น ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การตรงต่อเวลา การมีมนุษย์สัมพันธ์ ได้สัมผัสกับการร่วมงานกับผู้อื่น การทำงานเป็นทีม และเรื่องของความซื่อสัตย์ และที่สำคัญ พี่ๆ ฝ่าย [ที่ฝึกงานด้วย] ก็ใจดีทุกคน สอนงานน้องๆทุกครั้งที่ว่างงาน หรือเมื่อเวลาน้องๆ ถาม ทำให้ได้สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มากมายที่มีความรู้เช่น ได้เรียนรู้ถึงการ [ตั้งค่าจนใช้งานได้] ของ [อุปกรณ์สำคัญแบบที่ 1] และ [อุปกรณ์สำคัญแบบที่ 2] ซึ่งได้ปฏิบัติและใช้งานจริง การฝึกหัดเป็น [ด่านหน้า รับความต้องการและปัญหาจากลูกค้า] การได้ฝึกพบปะกับลูกค้า ทำให้รู้จักแก้ปัญหา และต้องมีความถูกต้องแม่นยำ การฝึกงานครั้งนี้เป็นประสบการณ์ ที่ดีและสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้”
ไม่ได้นำโน๊ตนี้มาเพื่ออวดนะครับ แต่นำมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการสร้างคน ให้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เยอะ
สวัสดีค่ะคุณConductor
ทุกครั้งที่ดิฉันฟังเด็กๆที่ผ่านการฝึกงานมาแล้ว รายงานผลหลังการฝึกงาน ก็ได้เห็นว่าพวกเขาเปลี่ยนไปจริงๆ ...เขาโตขึ้น และรู้คิดมากขึ้น ผิดกับตอนที่"นั่งเรียน"ในห้องสี่เหลี่ยมกับครู หน้ามือเป็นหลังมือ ....
แทบทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และจะมีข้อคิดดีๆมาเตือนมาบอกน้องๆของเขา แบบคนที่"เจอของจริง"มาแล้ว และยิ่งห่วงรุ่นน้อง ไม่อยากให้รุ่นน้องเสียโอกาสเพราะความไม่รู้อย่างเขา เขาจะอยากบอกอยากเล่าอยากพูดว่าพี่ๆที่ทำงานได้ฝึก ได้สอนอะไรเขาบ้าง (แบบที่ครูสอนพวกเขาไม่ได้.... ) : )
"การสร้างคน ให้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เยอะ" จริงๆค่ะ