หลักสูตรในบ้าน
หลาย…..ท่านคงแปลกใจที่อยู่ๆก็มาเจอคำว่า “หลักสูตรในบ้าน” เพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน แต่ถ้าพูดว่า “พ่อ - แม่ เป็นครูคนแรกของลูก” คนส่วนใหญ่จะเข้าใจและคุ้นหูจนชิน ถึงกระนั้นก็ตาม “ครู….คนแรกของลูก” ดังกล่าวนี้ เคยมีผู้วิจัยพบว่า แม้แต่พ่อ – แม่ในประเทศที่เจริญแล้ว ก็ให้เวลาเพื่อการศึกษาแก่ลูกๆเฉลี่ยวันละไม่ถึง ๑๕ นาที ในประเทศไทยของเรายังไม่มีใครทำวิจัยในเรื่องนี้ แต่พอจะประมาณได้อย่างใกล้เคียงว่า สถิติคงจะน้อยกว่านี้ หรือเกือบจะไม่มีพ่อ – แม่ คนใดเห็นว่า “เรื่องการให้การศึกษาแก่ลูก” ด้วยตัวของเขาเองนั้นเป็นสิ่งที่ “จำเป็น…และ ต้องทำ” ซะอีกด้วย
มีปรากฎการณ์มากมายที่แสดงว่า “ครูคนแรกของลูก” ได้ลาออก หรือ เลิก หรือได้ ละทิ้ง การทำหน้าที่ครูที่ดีไปนานแล้ว ปัจจุบันนี้ พ่อ – แม่ พากันผลักภาระการอบรมสั่งสอนลูกไปให้ครูและโรงเรียน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์กันเลยทีเดียว บางครอบครัว พ่อมัวแต่วุ่นอยู่กับธุรกิจ การทำมาหากิน ส่วนคุณแม่ก็สนใจอยู่แต่กับความงาม การสังคมสงเคราะห์ และอื่นๆ ทิ้งลูกไว้กับแจ๋ว (คนใช้) วันแล้ววันเล่า และ ปีแล้วปีเล่า จนมีบางคนพูดว่า “เด็กคนนี้ดื้อมาก เขาเป็นเด็กที่ คนใช้ ไม่สั่งสอน” เอาเข้านั่นเชียว
สัมพันธ์ภาพระหว่าง พ่อ – แม่ และลูกๆก็มีสิ่งที่แสดงให้เห็นหลายอย่างที่เป็นไปในทางรุนแรงมากขึ้นๆ ถ้าเฝ้ามองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่า “คนในครอบครัวมีการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่มีการไว้วางใจกัน ไม่เชื่อถือ หรือเชื่อถือกันไม่ได้อยู่ตลอดเวลา” พ่อ – แม่ มีความคิดแต่เพียงว่า “การออกคำสั่ง, การขู่,การตักเตือน, แนะนำ,สั่งสอน,การติเตียน,ตราหน้า,แสดงตนว่ารู้ทัน ฉลาดกว่า, ซักไซ้ จู้จี้, การปลอบใจ, และแม้แต่การเบี่ยงเบนความสนใจของลูก” เป็นวิธีการที่ดีที่สุด ที่ พ่อ – แม่ ควรนำมาใช้กับลูก เพราะพ่อ – แม่มักจะคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอยู่เสมอ ลูกเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายที่ต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขทุกครั้งไป แต่คำพูดเหล่านี้กลับถูกลูกต่อต้าน โต้เถียง หรือไม่ก็ดื้อแพ่ง หลีกหนี ฯลฯ สุดแต่สถานการณ์จะอำนวยให้ ส่วนทางข้างฝ่ายลูกก็มักจะหลีกหนีการสั่งสอน การแนะนำ และการงานของครอบครัวด้วยข้ออ้างต่างๆนานา รวมทั้งอ้างเรื่องการเรียนด้วย โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดของพ่อ - แม่และสิ่งที่ต้องทำในครอบครัวนั่นแหละคือ “บทเรียนของชีวิต” ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริง
สัมพันธ์ภาพในทางเสื่อมโทรมข้างต้นเป็น ความอ่อนแอ ที่ซึมลึกอยู่ในสังคมทั่วโลก รวมทั้งสังคมไทยด้วย และเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ๆนานาประการในปัจจุบัน จะเห็นว่า พ่อ – แม่ ใจร้าย ขาดความรับผิดชอบ ได้ปรากฏตัวในสังคมมากขึ้นๆ เพราะ พ่อ – แม่ ในวันนี้ก็คือผลผลิตที่พ่อ – แม่ รุ่นก่อนได้ทอดทิ้งหน้าที่ “ครู คนแรกของลูก”ให้ขาดตอนมาแล้วเป็นเวลานานนั่นเอง ส่วนพวกลูกๆก็ติดยาเสพติด ติดการพนัน มีความประพฤติเหลวแหลกแหกคอก เร่ร่อน เป็นขโมย เป็นโจร เป็นนักเรียนนักเลง ฯลฯ เต็มบ้านเต็มเมือง ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “เสียงบ่นในสังคม” มีปรากฏทั่วไปว่า “เด็ก นักเรียน เยาวชน คนรุ่นใหม่” ปัจจุบันนี้ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ “ว่ายาก สอนยาก” เหลือเกิน จนนักวิชาการต่างพากันหอบผลการวิจัยมาชี้ผ่านสื่อมวลชนและในที่ประชุมสัมมนาของเวทีต่างๆว่า “คนไทยไอคิว (IQ.)ต่ำลง คนไทยมีคุณภาพต่ำลงๆ” ดังได้ทราบกันอยู่แล้ว
ที่จริง “มนุษย์พันธุ์ใหม่” ดังกล่าวข้างต้นไม่ใช่มีปรากฏเฉพาะในเด็กๆเท่านั้น ถ้าลองมองย้อนสืบสาวขึ้นไปจะเห็นว่า “ผู้ใหญ่ไทย” ก็ได้แสดงตนเป็นคนที่ “ตั้งอยู่ในเหตุผลน้อยเกินไป” สร้างอันตรายให้แก่สังคมต่างๆนานา เช่น เห็นแก่ตัวจัด คอรัปชั่น โกงกิน โหดร้าย เบียดเบียนกัน ศีลธรรมเสื่อมโทรมอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะชี้ไปที่วงการไหนโกงกันอย่างมโหฬารทุกวงการ ผู้ชายไม่ว่าอายุจะแก่ขนาดไหน เป็นผู้ที่ทางราชการและสังคมยกย่องว่าเป็นคนมีเกียรติ เป็นผู้ใหญ่ในระดับชาติเพียงใด แม้แต่เป็นบุคคลในครอบครัว หรือเครือญาติ และใครๆ“ก็เชื่อถือไว้วางใจไม่ได้” คดีความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทำไม? ทำไม?
เพราะ………..”ครูคนแรกของลูก” ได้ตายไปจากสังคม…….ใช่หรือไม่?
หมายเลขบันทึก: 96172เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2007 17:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 23:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น