ฉันดมยาสลบผู้ป่วยเจาะคอด้วยการวินิจฉัยว่าเป็น Obstructive Sleep Apnea
เป็นผู้ป่วยชายหนุ่ม น้ำหนัก 136 กก. ตอนนี้ลดลงเหลือ 120 กก. พบปัญหาของการนอนกรน...มากจนเกิดอาการภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea : OSA)
ผู้ป่วยรายนี้เคยเจาะคอมาแล้วเมื่อ 2 - 3 สัปดาห์ก่อน อาการดีขึ้นแล้ว และมาคราวนี้ผู้ป่วยมีอาการอีก เป็นเหตุให้ต้องกลับมาทำซ้ำโดยปกติหายใจได้เองปกติ วัดค่าออกซิเจน(SpO2)ปลายนิ้วอยู่ในเกณฑ์ ปกติคือ 99% แต่จะมีอาการมากตอนนอนจนทำให้ค่าออกซิเจนตกลง
เราคาดว่า การเจาะคอคราวนี้น่าจะทำได้ยากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะอาจจะมีร่องรอยเดิมของแผล จากการผ่าตัดคราวที่แล้ว
เราวางแผนที่จะดมยาสลบใส่ท่อสำหรับหายใจ(Endotracheal tube) ผ่านทางปาก เนื่องจากผู้ป่วยอ้วนจึงวางแผนการใส่ท่อช่วยหายใจแบบคาดว่าจะใส่ท่อช่วยหายใจยาก(Difficult Airway Management)
......ฉันเตรียมท่อช่วยหายใจหลายขนาด.....หลายแบบ.......
ดีเกินคาด...ผู้ป่วยใส่ได้ไม่ยากมาก ใส่ได้ด้วยท่อช่วยหายใจที่มีลวดดัดภายใน(stylet)เพื่อช่วยให้ใส่ได้ง่ายขึ้น....ใส่เพียงครั้งเดียว แต่ใช้ท่อช่วยหายใจขนาดเล็กกว่าขนาดปกติที่ใช้ในผู้ชาย 2 เบอร์คือเบอร์7
เราดมยาสลบและช่วยควบคุมการหายใจผ่านท่อช่วยหายใจEndotracheal tube....เพื่อให้แพทย์เจาะคอผู้ป่วยแล้วใช้ท่อช่วยหายใจที่ผ่านหลอดลมออกทางคอโดยตรง
เมื่อแพทย์ผ่าตัดพบหลอดคอในตำแหน่งที่ต้องการและเจาะ พร้อมกับนำท่อช่วยหายใจชนิดที่ใช้ใส่ทางคอที่มีขนาดสั้นกว่าที่ทางวิสัญญีใช้โดยทั่วๆไป เรียกว่า Tracheostomy tube.....
......โดยเทคนิค....ขณะแพทย์ผ่าตัดค่อยๆนำท่อ Tracheostomy tube สอดเข้าหลอดคอ....จะเป็นจังหวะที่วิสัญญีจะค่อยๆเลื่อน Endotracheal tube ออกให้พ้นตำแหน่งที่แพทย์จะใส่ท่อใหม่ ภายหลังการดูดลมออกจากถุงลมเล็กๆของท่อ(deflate cuff)....เราจะยังไม่เลื่อนออกหมดจนกว่าจะมั่นใจว่าแพทย์ผ่าตัดใส่ได้.....
.....ครั้งแรกใส่ไม่ได้เนื่องจากมีเลือดออกมาก.....บดบังการมองเห็นของแพทย์ เราจึงสอดท่อกลับเข้าไปใหม่ ใส่ลมในถุงลมเล็กๆของท่อเพื่อมิให้เลือดและเสมหะไหลลงปอด อันเป็นสาเหตุให้อุดกั้นทางเดินหายใจ อาจจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้....เราดูดเสมหะและเลือดเป็นระยะ....
........ครั้งที่ 2...เมื่อมั่นใจว่าห้ามเลือดดีแล้ว....ฉันเลื่อนท่อEndotracheal tube ออก...ขณะแพทย์ผ่าตัดค่อยๆสอดท่อTracheostomy tube สอดเข้าหลอดคอ...อีกครั้ง
"ถอยอีกครับ"....ฉันเลื่อนออก
"ถอยออกอีกได้ไหมครับ..."...ฉันค่อยๆเลื่อนออกมา...
....มากไปแล้วๆ.....หลุดจากหลอดลมคอแล้วแน่ๆ....
"มันมากไปแล้วละหมอ..ท่อพี่ไม่น่าจะกีดขวางให้หมอใส่ท่อไม่ได้" ฉันบอก
"แต่ผมใส่ไม่ได้..มันติด"
......ฉันว่าแผลผ่าตัดมันเล็กไป...เล็กเกินกว่าท่อจะสอดได้.....
......ฉันเริ่มคิดแผนในใจเตรียมไว้....หากแพทย์ใส่ไม่ได้.........
"ท่อพี่หลุดออกมาแล้วนะ" นั่นหมายความว่า หากต้องการช่วยการช่วยหายใจผ่านท่อEndotracheal tube ของดมยา...ไม่สามารถทำได้ ยกเว้นต้องเปิดปากใส่ใหม่ซึ่งจะทุลักทุเลมากๆ....
......ฉันเห็นแพทย์ใส่อยู่นาน....ฉันให้แพทย์ลองพยายามโดยไม่เอ่ยปาก....ค่าออกซิเจนผู้ป่วยเริ่มลดลง...ลดลง...
......ฉันทนไม่ไหว....ถามแพทย์ว่า
"หมอจะเอาท่อช่วยหายใจขนาดเล็กๆของดมยาใส่ก่อนดีไหม แล้วหมอค่อยเปิดแผลให้ใหญ่ขึ้นหน่อย เพราะท่อของหมอเบอร์8 ซึ่งมันใหญ่กว่าที่พี่ใช้ 2 เบอร์"
"ดีครับพี่..เอาครับ"
ฉันส่งท่อช่วยหายใจให้แพทย์สอดลงหลอดคอ.....ท่อนี้ไม่มี cuff ทำให้สอดง่าย แต่เลือดก็ไหลลงปอดได้ เราจึงเปลี่ยนเป็นชนิดมี cuffฉันช่วยหายใจทางหลอดลมคอที่หมอเจาะ...แม้จะรูเล็ก....แล้วแพทย์ทำต่อ.....
......คราวนี้หมอไม่กลัวว่าผู้ป่วยจะขาดออกซิเจนแล้วเพราะมีท่อหายใจเล็กๆสำรองไว้ใกล้ๆ....
......ท้ายสุดการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อย...ผู้ป่วยตื่นดี ปลอดภัย...
แพทย์ดีใจที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
"พี่เคยทำคนไข้เขียวเพราะเลื่อนท่อออกเร็วเกินไป ขณะแพทย์ยังใส่ท่อใหม่ไม่ได้...โน้น...สมัยพี่เป็นพยาบาลดมยาสาวๆ..เลยจำแม่น" ฉันบอก
"โชคดีของผมที่เจอพี่ครับ" แพทย์ผ่าตัดให้ยาหอม....ใครๆก็คงทำแบบที่ฉันทำแหละ...แต่ฉันก็ชอบคำชม...ยิ้มหน้าบานทั้งวันด้วยความชื่นใจ...
......ใช่ค่ะ.....ฉันก็ว่าเป็นโชคดีของคนไข้ที่เราไม่ประมาท เตรียมอุปกรณ์และแผนรองรับ...เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเสมอ