อ่านบันทึก.....เสด็จในกรมฯ ในวัน"อาภากร"


 

              ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ของทุกปีเป็น "วันอาภากร" อันเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้เวียนมาครบรอบอีกครั้ง จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาติและกองทัพเรือเป็นอเนกประการโดยถ้วนหน้าและพร้อมเพรียงกัน
             พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากราชนาวีอังกฤษ และทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือเมื่อปี
พุทธศักราช ๒๔๔๓ ซึ่งขณะนั้น กิจการในด้านต่าง ๆ ของทหารเรือยังมิได้ความมั่นคงทั้งในด้านองค์วัตถุ  องค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านบุคลากร เนื่องจากนายทหารเรือที่เป็นคนไทยและ
มีความรู้ด้านวิชาการทหารเรือมีจำนวนน้อย ต้องว่าจ้างชาวต่าประเทศเป็นจำนวนมากมาปฏิบัติหน้าที่นายทหารในหน่วยต่าง ๆ ของกรทหารเรือทั้งในหน่วยงานและในเรือหลวง
             ด้วยพระทัยอันแน่วแน่ที่จะปฏิรูปและพัฒนาการทหารเรือให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นหลักสำคัญในการป้องกันประเทศชาติได้อย่างแท้จริง พระองค์ได้ทรงทุ่มเทพระวรกายและพระสติปัญญาในกาพัฒนา
และวางรากฐานให้กรมทหารเรือมีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ โดยในปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ ทรงริเริ่มจัดตั้งหน่วยฝึกทหารเหล่าทัศนสัญญาณ และทรงฝึกทหารด้วยพระองค์เองเป็นหน่วยแรก ต่อมาได้ทรงปรับปรุงการฝึกในเรือรบ ทำให้กองทัพเรือสามารถจัดเรือไปฝึกภาคเป็นกองเรือได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ได้ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเล ซึ่งเป็นแผนการทัพฉบับแรกนับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกรมทหารเรือขึ้น และได้ทรงปรับปรุงการศึกษาในโรงเรียนนายเรือ เพื่อให้นักเรียนนายเรือ มีความรู้ควาสามารถในการเดินเรือในทะเลลึกได้ และทรงมีพระดำริให้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนนายช่างกล เพื่อสร้างนายทหารเหล่าช่างกลสำหรับปฏิบัติราชการในเรือและโรงงานบนบก ทดแทนการว่าจ้างชาวต่างประเทศ
             ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๐ ทรงนำนักเรียนนายเรือและนายช่างกลไปฝึกภาคต่างประเทศ โดยมีเส้นทางไปยังสิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวา และเกาะบัลลิทัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เรือรบไทยคือเรือหลวงมกุฎราชกุมาร สามารถเดินทางไปฝึกและอวดธงยังต่างประเทศโดยมีกำลังพลประจำเรือเป็นคนไทยทั้งหมด
             ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๔ พระองค์ได้ทรงออกจากราชการเป็นเวลานาน ๖ ปีเศษ โดยในระหว่างนั้นทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างจริงจัง จนมีความรู้ในวิชาแพทย์แผนโบราณอย่างแตกฉาน ทรงช่วยเหลือรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากจนประชาชนถวายพระสมัญญานามว่า "หมอพร" นอกจากพระปรีชาสามารถทางด้านการทหารและการแพทย์แล้ว พระองค์ยังทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านการดนตรีโดยได้ทรงนิพนธ์บทเพลงปลุกใจของทหารเรือ ดังเช่น เพลงเดินหน้า เพลงดอกประดู่ และเพลงดาบของชาติ ซึ่งถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่แนบแน่นอยู่ในใจของทหารเรือและชาวไทยทุกคน
             ในเรื่องของความรักชาติ รักแผ่นดิน พระองค์ท่านนับได้ว่าอยู่ในลำดับต้นๆ เพราะทรงยอมกระทำทุกวิถีทางเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและความเป็นหนึ่งเดียวของผืนแผ่นดินไทย ทรงกระทำพระองค์เป็นแบบอย่างของผู้รักชาติทั้งหลายที่แสดงออกยามแผ่นดินไทยถูกเบียดเบียนบีทา ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่หรือสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดังบันทึกของพระองค์ท่านที่ทรงมีไว้ดังนี้
              เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรู้ว่า
             
"กูกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์"  ผู้เป็นโอรสของพระปิยมหาราช ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษ ได้เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตแลกไว้
            ไอ้อีมันผู้ใด คิดชั่วร้ายทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฤา กระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม  จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว  ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตร ให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยามอันเป็นที่รักของกู ตราบใดที่คำว่า "อาภากร"ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาผืนแผ่นดินสยามของกู 
             ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมามิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น
             ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งจเรทหารเรือ และเสนาธิการทหารเรือตามลำดับ และด้วยสายพระเนตรที่กว้างไกลทั้งในด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลขอพระราชทานที่ดินที่สัตหีบ บริเวณตั้งแต่เกล็ดแก้วจนถึงแสมสาร เพื่อใช้เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งได้พัฒนาก้าวหน้ามาเป็นที่ตั้งหน่วยกำลังรบที่สำคัญของกองทัพเรือในปัจจุบัน
             ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๖ ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดของทหารเรือในขณะนั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทรงปฏิบัติราชการได้ไม่นานก็ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ สิริรวมพระชนมายุ ๔๔ ชันษา ด้วย
พระปรีชาสามารถและพระกรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อกองทัพเรือและชาติไทย ส่งผลให้ประเทศชาติและกองทัพเรือมีการพัฒนา ก้าวหน้า และมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นตราบเท่าทุกวันนี้ เราชาวไทยและทหารเรือทุกคนจึงเคารพเทิดทูนบูชาพระองค์ พร้อมใจถวายพระนามพระองค์ให้ทรงเป็น "องค์บิดาของทหารเรือไทย"สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
             ในวาระที่วันอาภากรได้เวียนมาบรรจบในวันนี้ ขอให้เราชาวไทยทุกคน ซึ่งเป็นเสมือนผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระองค์ ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานต่อดวงพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขอทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญของชาวไทยผู้ที่เคารพรักทั้งปวง
ชั่วกาลนาน ขอพระองค์ได้โปรดประทานกำลังกาย กำลังใจแก่ทหารหาญและชาวไทยทุกคน เพื่อที่จะร่วมกันสร้างสรรค์ ความเจริญก้าวหน้าให้กับชาติไทย และร่วมเป็นกำลังสำคัญในการรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติและแผ่นดินไทยให้ดำรงมั่นคงสืบไป
มันและชนกลุ่มใดที่คิดจะแบ่งแยกแผ่นดินไทย ขอให้ชนกลุ่มนั้นจงพบกับความวิบัติโดยฉับพลัน


                                                                   โดย  คนบ้านเดียวกัน

คำสำคัญ (Tags): #แนะแนว วิจัย
หมายเลขบันทึก: 97006เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2007 13:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

วิวัฒนาการของการสังหารขั้นสูงสุด ไม่ใช่การใช้อาวุธทำลายล้าง แต่เป็นการใช้ธรรมาวุธ สังหารมารในใจ

ติดอาวุธให้ธรรมะ เอาชนะด้วยคมธรรม
พิฆาตกรรม กระสุนธรรม ทะลวงใจ
รุกฆาตไป โดยระเบิดธรรม(ระบำเถิด)
ทำหมันการเกิด ดับความไม่รู้
เป็นยอดนักสู้ พลีชีพมาร ในหัวใจ.....กันเถอะนะ 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท