ก้าวย่างการขับเคลื่อนเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่เราใช้กระบวนการ KM เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายเริ่มมีให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว
ช่วงที่ผ่านมาผมเดินทางไปครบทุกภาคของประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็ไป Capture ความรู้ และไปสังเกตการณ์รูปแบบการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีอยู่ในแต่ละภาค เป็นที่น่ายินดีว่าพื้นฐานของงานท่องเที่ยวลักษณะนี้มีกันอยู่แล้ว บางภาคก็พยายามที่จะรวมเครือข่ายกันอยู่แล้ว เช่น
ภาคเหนือที่มีชุมชนท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง (แม่ฮ่องสอน,เชียงใหม่,เชียงราย)มีกลุ่มคนทำงานที่มาพูดคุยในเวทีแลกเปลี่ยนที่จัดขึ้น โดยการสนับสนุนของ สกว. แล้ววันหนึ่งก็คุยประเด็นการรวมตัวกันขึ้น เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อจุดยืนในสังคม CBT.ไทย
ภาคใต้ โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช ก็มีการสร้างเครือข่ายCBT. อยู่แล้ว เพียงแต่เราไปเสริมต่อ และขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมระดับภาค
ภาคกลางอาจจะรวมตัวกันยากหน่อยเพราะพื้นที่ค่อนข้างกระจายและลักษณะต่างคนต่างทำ แต่ผมก็มองว่าน่าสนใจ เพราะความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยวที่ภาคกลางนี่เอง
ส่วนภาคอีสานที่ไปมาในครั้งล่าสุด เราก็ทราบว่า การท่องเที่ยวที่ภาคอีสานเป็นอีกแบบหนึ่งที่ต่างกับภาคอื่นๆ ด้วยภาคอีสานเริ่มด้วย วิถีชีวิต การเกษตร และการศึกษาดูงานมากกว่า เหตุเพราะทรัพยากรการท่องเที่ยวมีจำกัด แต่ผมก็มองว่าอีสานมีจุดแข็งตรงที่พื้นฐานชุมชนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวเพื่อการท่องเที่ยวอย่างช้าๆ โดยเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เข้าทำนอง “ช้าแต่ชัวร์”
ผมคาดหวังให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดขึ้นในจุดเล็ก ๆตั้งแต่จังหวัดที่พร้อม ระดับภาค และจนถึงระดับประเทศ สิ่งที่อยากเห็นก็คือ บรรยากาศแลกเปลี่ยนที่ทุกชุมชนนำ Best practice มาแลกเปลี่ยนกัน สร้างความรู้ ต่อยอดความรู้ และสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนประเทศไทย
ลองคิดดูว่าหากทุกภาคมีกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็น CoPs แต่ละภาค และจากภาคไปสู่ระดับประเทศ เป็นการรวมตัวแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็น CBT.จะน่าสนใจขนาดไหน องค์ความรู้อันมหาศาลที่จะถูกนำมาแลกเปลี่ยนในเวทีระดับประเทศ
อย่างไรก็ตามแม้ว่า งานวิจัยจะสิ้นสุดลงตามระยะเวลา แต่เครือข่ายที่ได้รับการผลักดันโดยกระบวนการ โดยความรู้ โดยมิตรภาพ หวังใจว่า เครือข่ายนั้นจะเข้มแข็งและยั่งยืน
โจทย์ใหม่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปีต่อไป น่าจะเป็น “จะพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน”
ในกลุ่มคนทำงานเราก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันผ่าน Blog ครับ เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ไม่จำกัด และใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Planet CBT.thailand มีคุณ <p>น้ำฝน</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เป็นผู้ดูแลอยู่</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วันนี้ในส่วนของผมที่ทำหน้าที่ คุณอำนวยในการจัดการความรู้ ตามภารกิจของโครงการวิจัย กำลังเผ้ามองดูอย่างใจระทึกครับ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p></p><p> </p><p> </p>
แม้วันหนึ่งโครงการวิจัยการพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนฯ จะสิ้นสุดลง แต่ในฐานะนักวิจัยผู้ที่ได้เข้ามาสัมผัสกับ CBT แม้จะเพียงระยะ 6 เดือน แต่ก็หวังใจว่า เครือข่าย CBT จะเกิดขึ้นและมีการพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต สามารถพึ่งพาตนเอง ยืนได้ด้วยความสัมพันธ์อันแน่นเหนียวในเครือข่ายของตนเอง
น้อง
ขวัญเอ๋ยขวัญมา |
ผมเชื่อว่า ๖ เดือนที่พวกเราทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังความคิดอย่างที่เราทำอยู่ ...
เราจะเกิดเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่เข้มแข็ง และยั่งยืน
เกิดการแลกเปลี่ยน และยกระดับองค์ความรู้ครั้งใหญ่
ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่ครับ ผมรู้สึกภูมิใจในการทำงานครั้งนี้
โจทย์ใหม่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปีต่อไป น่าจะเป็น “จะพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน”
นี่ละที่อยากเห็นที่เมืองกาญจน์ค่ะด้วยค่ะ
ขวัญเอ๋ยขวัญมา |
สวัสดีครับเพื่อนรัก