ชื่อ มาลี ดูออกจะเชยและโบราณ สักหน่อย แต่ขอบอกว่า เป็นชื่อที่ดิฉันภูมิใจ และไม่คิดจะเปลี่ยน เพราะเป็นชื่อที่แม่ตั้งให้ นามสกุลเดิม ทับทิมศรี แต่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะต้องทำตามระเบียบของสังคม ชื่อจริง มาลี ชื่อเล่น ก็คือ ลี เพราะชื่อจริงมันมีอยู่แล้วเรียกให้สั้นเข้าก็ชื่อ ลี น่าจะดีที่สุด เพราะพ่อกับแม่คนโบราณ คงหาชื่อที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ส่วนชื่อ กล้วย เพื่อน ๆ ทั่วไปเรียกกันมานานกว่า 20 ปี เพราะเพื่อน ๆ รู้ดีว่า ดิฉันชอบกินกล้วย เป็นชีวิต ถ้าท้องดี ๆ กินเป็นหวี ก็ไม่เหลือ ดังนั้นชื่อไหนคงไม่เหมาะสำหรับเพื่อน ๆ เท่า ชื่อ กล้วย
บ้านเกิด ของดิฉันคือ จ.นครสวรรค์ แต่พอโตได้ ประมาณ 6 ขวบ พ่อแม่ ก็ย้ายที่ทำกินมาอยู่ที่กำแพงเพชร เลยกลายเป็นคนกำแพงเพชร ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง ถึง 7 คน
ดิฉันเริ่มเรียน ชั้นประถมศึกษาป.1-ป.4 ที่โรงเรียนวัฒนศิริ จังหวัดกำแพงเพชร แต่อาศัยว่าเป็นเด็กเรียนดี สอบได้ที่ 1 ตลอด น้าชายก็เลย รับไปเรียนต่อที่ โรงเรียน สตรีโพฒิสาร จังหวัดนครสวรรค์ ไม่เช่นนั้นคงมีหวังได้เป็นเกษตรกร แบบพ่อและแม่แน่เพราะพ่อกับแม่จะไม่ให้เรียนหนังสือ ด้วยน้าชายเป็นช่างเย็บผ้าที่มีฝีมือ ดิฉันก็เลยได้วิชาช่างเย็บผ้า ติดตัวมา เพราะความอยู่ไม่สุกอยากรู้ไปซะทุกเรื่อง เลยเย็บผ้าเป็นตั้งแต่อยู่ป. 5 ถึงกระนั้นฝีมือก็ยังไม่เข้าขั้น แต่มีพื้นฐานจากการถูกใช้ให้ทำทุกวันตั้งแต่ยังเด็ก ความภูมิใจในการเรียนที่นี่ มีอีกครั้ง เพราะเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมในสายชั้น ป.7
พอจบ ป. 7 แม่บอกให้ย้ายกลับมาเรียนที่บ้านเพราะจะได้ทำงานช่วยด้วย เลยต้องกลับกำแพงเพชรอีกครั้ง แต่การกลับมาครั้งนี้ ต้องอยู่คนเดียว พี่ ๆ ส่วนใหญ่แต่งงานกันหมดแล้ว เลยต้องทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะพ่อกับแม่ต้องอยู่คนละบ้านกับดิฉัน ชีวิตที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง นาน ๆ พ่อกับแม่จะมาหาสักที เพราะการเดินทางในสมัยนั้นค่อนข้างลำบาก มาหาบ่อย ๆคงไม่ได้ พอปิดเทอม ดิฉันต้องไปช่วยพ่อแม่ทำงาน เป็นความโชคดีที่สื่อ ICT ไม่มีแพร่หลายอย่างสมัยนี้ ไม่เช่นนั้น ชื่อ ครูมาลี จะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเพราะอาจจะมัวหลงระเริงอย่างเด็กสมัยนี้ ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุด ในสมัยนั้นก็คือ การอ่านหนังสือ อ่าน ๆ ๆ อ่านไปซะทุกเรื่องที่อยากจะอ่าน เลยกลายเป็นคนรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก
ดิฉันเรียนสายวิทยาศาสตร์ แต่พื้นฐานความจริงชอบภาษาชอบเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ชอบอ่านชอบเขียน แต่เพราะว่าการแนะแนวการศึกษาสมัยนั้นนิยม สายวิทย์ ทำให้ชีวิตต้องเรียนในสิ่งที่สังคมต้องการ จบม.ศ. 5 เริ่มค้นพบตนเอง ว่าเราควรจะเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ เลยสอบโควต้า แข่งกับสายศิลป์ โชคดีที่สอบได้ มาเรียนในสถานที่ดี ที่ มศว. พิษณุโลก เรียนเอกภาษาไทย วิชาโท เทคโนฯ เพราะเราไม่ใช่เรียนภาษาไทยแล้วจะหัวโบราณอย่างที่เขาว่า แต่ต้องค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบ ผลพลอยได้ เลยนำความรู้จากการเรียนวิชาวิชาโท ทำมาหากิน ช่วยชีวิตให้เรียนจบปริญญาตรี จากการรับจ้างถ่ายรูป เพราะจะรอเงินที่พ่อแม่ส่งให้คงเรียนไม่จบแน่ เพราะพ่อแม่มีให้น้อยเหลือเกิน โชคดี ที่สื่อดิจิตอลไม่มีในสมัยนั้น ทำให้ได้เงินจากการถ่ายรูปกับนิสิตเอกอื่น ๆ ไหลมาเทมา เรารู้เลยว่าการหาเงินมันไม่ยากเลย ถ้าเราตั้งใจและไม่อายใคร ความรู้ที่ได้ จาก อ.ถาวร อ.กมเลศ อ.ประหยัด อ.สัญญา ช่วยให้เราก้าวหน้าและจบออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
จบการศึกษาปริญญาตรี ความโชคดีก็เกิดเพราะบังเอิญ สอบบรรจุได้ทำงาน จากการผ่านด่านผู้สอบถึง 16,000 คน แต่รับได้เพียง 95 คน โรงเรียนที่ไปอยู่ค่อนข้างกันดาร ไฟฟ้าไม่มี น้ำปะปาไม่มีใช้น้ำบ่อ แต่ก็อยู่ได้ อยู่ที่โรงเรียนบ้านโพธิ์พัฒนา จ.กำแพงเพชร และที่นี่เอง ที่ทำให้ดิฉันพบกับครูหนุ่มที่อยู่กันมาจนถึงปัจจุบัน
เราดูใจกันนานกว่า 4 ปี คิดว่าเพียงพอแล้วเลยตกลงแต่งงานกัน ตอนนั้นดิฉันอายุ 28 สามี อายุ 35 อยู่กันมา ได้ 3 ปี ก็มีทายาทคนแรก เป็นผู้ชาย 1คน เรา ตั้งชื่อให้ไทย ๆ ว่า"ลูกมะตูม"
เราช่วยกันสร้างฐานะ และคิดว่าเงินเดือนอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหารายได้พิเศษ อย่างอื่น ดิฉันรับจ้างเย็บผ้าในวันหยุด ซึ่งมีความรู้เดิมและไปเรียนเพิ่มเติมในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เรียน ปักชื่อนักเรียนด้วยจักรรับจ้างปักชื่อนักเรียนก่อนเปิดเทอม (มืออย่างเดียวคงไม่ทันแน่) รับจ้างถ่ายรูปตามงานต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นครูใหม่ ๆ เพราะเรายังไม่มีภาระอะไรมากนักพ่อกับแม่สอนว่าจะทำอะไรให้รีบทำรีบหาตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะเวลาผ่านไปแล้วจะย้อนกลับมาอีกไม่ได้ ก็เลยเลือกที่จะสร้างฐานะให้มั่นคงก่อนตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ และคิดว่าการเรียนอะไร ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และมีความสุขกับสิ่งที่เราทำจะดีกว่า เลยทำให้เรามีตังใช้ได้หลายทาง สามีเป็นคนขยัน อดออม ก็เลยเข้าใจกันและช่วยกันทำงานอย่างมีความสุข และต้องอย่าให้ใครเดือดร้อนไม่กระทบกับงานประจำ ทำอยู่นานจนฝีมือเป็นที่รู้จัก ในขณะเดียวกัน งานสอนก็ต้องทำให้ดีเพราะเป็นงานประจำของเรา โชคดีอีกเพราะดิฉันอยู่โรงเรียนที่มีผู้บริหารเก่ง และดี เลยส่งเสริมให้ดิฉันเป็นครูดีเด่นระดับจังหวัด นับเป็นความภูมิใจอย่างยิ่งกับชีวิตของเราในสมัยนั้น
4 ปี ต่อมา ดิฉันมีทายาทคนที่ 2 เป็นผู้ชายอีกนั่นแหละ เราตั้งชื่อให้ไทย ๆ เหมือนเดิม ว่า "ลูกตาล"
อยู่โรงเรียนเดิมมากว่า 11 ปี คิดว่าน่าจะย้ายเข้ามาอยู่ใกล้บ้านเลยย้ายมาอยู่โรงเรียนใหม่ โชคดีที่ย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับสามี อีก คือ โรงเรียนบ้านธำมรงค์ฯ จ. กำแพงเพชร ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส เราก็เลยไม่ได้แยกจากกันเลยตั้งแต่บรรจุเป็นครู ดิฉันเป็นครูภาษาไทยหัวใจเทคโน เพราะสอนทั้งภาษาไทยและคอมพิวเตอร์ แต่ขอบอกไม่ได้จบเอกคอมฯเลยแต่อาศัยว่าเป็นอยากรู้เลยสนใจอ่าน ฝึก อบรม และไม่อายที่จะถามผู้ที่รู้กว่า ทำให้มีความรู้ที่พอจะสอนได้ และที่นี่ ทำให้ดิฉันและสามี มีความเจริญรุ่งเรือง สั่งสอนเด็ก ๆ ให้เป็นคนดี ด้วยความตั้งใจในการทำงาน สะสมประสบการณ์และงานที่ทำให้เป็นระบบ ทำให้ดิฉันและสามี ได้ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ ทั้งสองคน ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น มีฐานะครอบครัวที่มั่นคง
ชีวิตที่เปลี่ยนไปทำให้เรามีความคิดที่รอบคอบ นำประสบการณ์มาสอนเด็ก ๆให้เป็นคนดีมีความอดทน เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกหลาน ถึงแม้ว่าเราจะอายุมากขึ้น แต่สิ่งเป็นไปในโลกเปลี่ยนแปลงการหยุดอยู่นิ่ง คงไม่ดีแน่ จึงคิดว่าน่าจะมาเรียนต่อ หลังจากที่เราทำอะไรให้ชีวิตและครอบครัวมามากแล้วและควรจะทำอะไรที่ตนเองชอบอายุจึงไม่ใช่อุปสรรคในการเรียน ความพากเพียรและความอดทนต่างหากที่ทำให้เราก้าวหน้าดิฉันคิดว่าเราควรจะเรียนเมื่อเรามีความพร้อม และคิดว่า จะตั้งใจศึกษาหาความรู้ที่ได้ไปสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีในสังคมและเป็นอนาคตของชาติ จนกว่าชีวิตของความเป็นครูจะหมดไป