ใครที่อยู่ใกล้ทะเล
หรือไปเที่ยวทะเลบ่อยๆ
อาจจะเคยเห็นปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่น่าตื่นตาตื่นใจที่มักเรียกกันว่า
"พายุงวงช้าง" อย่างในช่วงสงกรานต์ปี 2548
ก็มีปรากฏการณ์นี่เกิดขึ้นและเป็นข่าวในบ้านเรา โดยข่าวระบุว่า
ที่มา : นสพ. ไทยรัฐ ปีที่ 56 ฉบับที่
17251 วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2548 หน้า 1
“พายุงวงช้าง ที่เกิดขึ้นกลางทะเลอันดามัน
ห่างชายฝั่ง ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 10 กม. ถูก
2 ช่างภาพสมัครเล่นบันทึกภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญเอาไว้ได้ …
โดยมีนักกอล์ฟที่สนามกอล์ฟค่ายรัตนรังสรรค์เห็นเหตุการณ์หลายสิบคน
โดยนายอำนวย เจริญวิภาสเจต อายุ 52 ปี ระบุว่า
เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม จึงมองออกไปในทะเล
พบเส้นสีเทาหมุนเป็นเกลียวพุ่งจากท้องฟ้าลงไปในทะเล
เกิดเป็นเกลียวหมุนอย่างรวดเร็วดูดน้ำทะเลขึ้นไปบนอากาศแบบเดียวกับพายุทอร์นาโดในสหรัฐอเมริกา
ทำเอาคนในสนามกอล์ฟพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น แต่ก็มีนายพรชัย เอี่ยมโสภณ
และนายสรายุทธ สุทธิวงษ์ ผู้ดำเนินรายการของสถานีวิทยุชุมชมระนอง
บันทึกภาพปรากฏการณ์พายุงวงช้าง ซึ่งกินเวลานาน 20 นาทีไว้ได้
โดยพายุดังกล่าวไม่ได้พัดเข้าสู่ชายฝั่ง
และสลายตัวไปในอากาศเอง”
(ข่าวจาก นสพ.และเว็บไซต์ของไทยรัฐ)
เท่าที่ผมทราบจากผู้ที่เคยเห็น
และอ่านจากเว็บ เข้าใจว่าเคยมีคนเห็นอีกหลายแห่ง เช่น
ในทะเลจังหวัดตราด และได้นำไปโพสต์ไว้ในเน็ต โดยเรียกว่า
‘พายุงวงช้าง’ เหมือนข่าวจากหนังสือพิมพ์ครั้งนี้
อย่างไรก็ตามผมขอให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่า
พายุหมุนแบบนี้จะเรียกว่าพายุงวงช้างก็ไม่ผิด
แต่ชื่อเรียกที่ชัดเจนกว่าคือ นาคเล่นน้ำ หรือ
พวยน้ำ ซึ่งฝรั่งเรียกว่า
waterspout
‘นาคเล่นน้ำ’ มาจากไหน?
ทำไมจู่ๆ
จึงเกิดท่อเชื่อมผืนฟ้าและพื้นน้ำขึ้นมาได้?
นักอุตุนิยมวิทยาบอกว่า นาคเล่นน้ำมี 2 แบบ ได้แก่
แบบแรก :
เป็นพายุทอร์นาโดที่เกิดขึ้นเหนือผืนน้ำ (ซึ่งอาจจะเป็นทะเล ทะเลสาบ
หรือแอ่งน้ำใดๆ)
โดยพายุทอร์นาโดจะเกิดขึ้นระหว่างที่ฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก เรียกว่า
พายุฝนฟ้าคะนองแบบซูเปอร์เซลล์ (supercell thunderstorm)
และมีระบบอากาศหมุนวนที่เรียกว่า เมโซไซโคลน (mesocyclone)
พายุนาคเล่นน้ำแบบนี้จึงเรียกว่า นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโด
(tornadic waterspout) ซึ่งใครที่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง ทวิสเตอร์
(Twister) คงพอจะนึกภาพออก
เพราะมีอยู่ฉากหนึ่งที่มีทอร์นาโดหลายงวงอาละวาดอยู่ในน้ำ
แบบที่สอง : แบบนี้เกิดบ่อยกว่า
และน่าจะตรงกับกรณีที่เกิดขึ้นในบ้านเรา
(เพราะตามข่าวดูเหมือนจะไม่มีฝนฟ้าคะนองร่วมด้วย)
เกิดจากการที่มวลอากาศเย็นเคลื่อนผ่านเหนือผิวน้ำที่อุ่นกว่า
โดยบริเวณใกล้ๆ ผิวน้ำมีความชื้นสูง และไม่ค่อยมีลมพัด
(หรือถ้ามีก็พัดเบาๆ เอื่อยๆ) ผลก็คือ
อากาศที่อยู่ติดกับผืนน้ำซึ่งอุ่นในบางบริเวณจะยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ทำให้อากาศโดยรอบไหลเข้ามาแทนที่ จากนั้นจึงพุ่งเป็นเกลียวขึ้นไป
แบบนี้เรียกว่า นาคเล่นน้ำของแท้ (true waterspout) หรือ
นาคเล่นน้ำที่เกิดในช่วงอากาศดีพอสมควร (fair-weather waterspout)
จุดแตกต่างระหว่างนาคเล่นน้ำทั้งสองแบบนี้ก็คือ
นาคเล่นน้ำที่เกิดจากทอร์นาโดจะเริ่มจากอากาศหมุนวน
(ในบริเวณเมฆฝนฟ้าคะนอง) แล้วหย่อนลำงวงลงมาแตะพื้น คือ
อากาศหมุนจากบนลงล่าง
ส่วนนาคเล่นน้ำของแท้นั้น
จะเริ่มจากอากาศหมุนวนบริเวณผิวพื้นน้ำ แล้วพุ่งขึ้นไป คือ
อากาศหมุนจากล่างขึ้นบน
ในช่วงที่อากาศพุ่งขึ้นเป็นเกลียววนนี้
หากน้ำในอากาศยังอยู่ในรูปของไอน้ำ เราจะยังมองไม่เห็นอะไร
แต่หากอากาศขยายตัวและเย็นตัวลงถึงจุดหนึ่ง
ไอน้ำก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำจำนวนมาก ทำให้เราเห็นท่อหรือ ‘งวงช้าง’
เชื่อมผืนน้ำและเมฆ
ซ้าย :ในการก่อตัวระยะแรก
จะยังไม่เห็นลำของพายุ แต่จะปรากฏบริเวณสีเข้ม (dark spot)
บนผืนน้ำ
ขวา : เมื่อก่อตัวเต็มรูปแบบ
จะเห็นเป็นลำอย่างชัดเจน เนื่องจากไอน้ำควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ
สังเกตการหมุนวนของพื้นผิวน้ำเป็นเกลียว
ในภาพเป็นพายุนาคเล่นน้ำที่เกิดที่ฟลอริดา คียส์ (Florida Keys)
ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1969
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ลำพายุจะเอียง
และมีฝนตกไล่ตามมาทางด้านหลัง ทำให้อากาศเย็นลง
และนาคเล่นน้ำจะสลายไปอย่างรวดเร็ว
พายุนาคเล่นน้ำส่วนใหญ่ยาวประมาณ 10-100 เมตร แต่ยาวมากถึง 600
เมตร ก็เคยพบ เส้นผ่านศูนย์กลางก็ตั้งแต่เล็กๆ แค่ 1 เมตร
ไปจนถึงหลายสิบเมตร
ในนาคเล่นน้ำแต่ละตัว
อาจมีท่อหมุนวนเพียงท่อเดียวหรือหลายท่อก็ได้
โดยแต่ละท่อจะหมุนด้วยอัตราเร็วในช่วง 20-80 เมตรต่อวินาที
(ลองเปรียบเทียบกับพายุทอร์นาโดซึ่งมักจะยาวประมาณ 100-300 เมตร
และหมุนวนเร็วกว่าคือ 40-150 เมตรต่อวินาที) กระแสลมในตัวพายุเร็วถึง
100-190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และอาจสูงถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งคว่ำเรือเล็กๆ ได้สบาย
ภาพวาดแสดงเรือใบ Trombes
ขณะกำลังเผชิญอันตรายจากพายุนาคเล่นน้ำที่มากันโขยง
(ภาพจาก Les Meteores, Margolle et
Zurcher, 3rd Ed., 1869)
ภาพวาดแสดงขั้นตอนการเกิดพายุนาคเล่นน้ำจากตำราอุตุนิยมวิทยาสมัยก่อน
ชื่อ A Treatise on Meteorology โดย Elias Loomis, New York, Harper
& Brothers, 1880
(สังเกตว่า
ความเข้าใจกลไกการเกิดพายุนาคเล่นน้ำในสมัยนั้นยังไม่ถูกต้อง
เพราะภาพนี้ทำให้เข้าใจไปว่า อากาศหมุนจากเมฆด้านบนลงสู่พื้น
แต่ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า
ฝรั่งบันทึกความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว)
นอกจากหมุนวนรอบตัวเองแล้ว
นาคเล่นน้ำยังสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วตั้งแต่ 3 ถึง 130
กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ค่อนข้างช้าประมาณ 18-28
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงมีคำแนะนำสำหรับชาวเรือว่า
ให้สังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ให้ดี แล้วหนีไปในทิศตรงกันข้าม
(ซึ่งอาจโชคดีหนีได้ทัน)
อย่างไรก็ดี
พายุนาคเล่นน้ำมีอายุไม่ยืนยาวนัก คืออยู่ในช่วง 2-20 นาที (แต่นานถึง
30 นาทีก็เคยพบ) และหากนาคเล่นน้ำขึ้นฝั่ง
ก็จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
นาคเล่นน้ำมักจะเกิดพร้อมๆ
กันคราวละหลายตัว คือ มากันเป็นครอบครัว ตามสถิติที่ค้นได้พบว่า
เคยเกิดขึ้นพร้อมกันทีเดียว 7 ตัว ที่เกรทเลคส์ (Great Lakes)
ตามแนวพรมแดนระหว่างแคนาดากับอเมริกา ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า
เหตุการณ์นาคเล่นน้ำครั้งมโหฬารแห่งปี 2003 (The Great Waterspout
Outbreak of 2003) เพราะมีนาคเล่นน้ำปรากฏโฉมถึง 66 ตัว
(เป็นอย่างต่ำ) ในช่วงเวลามหัศจรรย์ 7 วัน คือตั้งแต่วันที่ 27
กันยายน ถึง 3 ตุลาคม ค.ศ. 2003
นาคเล่นน้ำอาจมาเป็นคู่
(หรือมากกว่านี้ก็มีบ่อยๆ)
แผนผังแสดงตำแหน่งที่เกิดนาคเล่นน้ำที่เกรทเลคส์
ในช่วงที่เหตุการณ์นาคเล่นน้ำครั้งมโหฬารแห่งปี ค.ศ. 2003
ส่วนในเขตประเทศอเมริกาเองนั้น
นาคเล่นน้ำมักจะเกิดแถวๆ ฟลอริดาในบริเวณที่เรียกว่า ฟลอริดาคียส์
(Florida Keys) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ทำให้บางคนสันนิษฐานว่า
นาคเล่นน้ำอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินและเรือจำนวนมากสูญหายไปในบริเวณสามเหลี่ยมลึกลับนี้ก็เป็นได้
รู้จักนาคเล่นน้ำกันไปแล้ว
เลยอยากแถมพายุงวงช้างอีกแบบหนึ่งที่เคยเกิดในบ้านเรา
เพราะมีบันทึกอยู่บนปกของวารสารวารสารอุตุนิยมวิทยาฉบับหนึ่ง
(โปรดดูภาพประกอบ) โดยในหน้าสารบัญ ให้ข้อมูลสั้นๆ เพียงว่า
“พายุฤดูร้อนรูปงวงช้าง ที่ก่อตัวขึ้นกลางท้องนา
จังหวัดพิษณุโลก”
ปกวารสารอุตุนิยมวิทยา ปีที่ 3 ฉบับที่
2 เมษายน-มิถุนายน 2546
ในกรณีนี้ ผมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมดังนี้
- หากพายุนี้เกิดขึ้นพร้อมกับพายุฤดูร้อนจริง พายุนี้ก็ควรเรียกว่า
พายุทอร์นาโด เหมือนในต่างประเทศ
เพราะเมฆที่ให้กำเนิดพายุจะต้องเป็นเมฆคิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus)
หรือ เมฆฝนฟ้าคะนอง แต่จะต้องเป็นฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก
และเกิดเมโซไซโคลน ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว (แต่ดูเหมือนจะไม่มี)
- แต่หากไม่ใช่พายุทอร์นาโด ก็ต้องดูพื้นผิวของบริเวณที่เกิดงวงช้าง
ซึ่งถ้าเป็นผืนน้ำ พายุนี้ก็คือ พายุนาคเล่นน้ำของแท้นั่นเอง
แต่หากเป็นพื้นดิน พายุนี้จะเรียกว่า แลนด์สเปาท์ (landspout)
(ผมค้นชื่อไทยไม่พบ แต่จะเรียกว่า นาคเล่นดิน ก็ยังไงๆ
อยู่)
พายุแลนด์สเปาท์มีกลไกคล้ายกับนาคเล่นน้ำของแท้
กล่าวคือ เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนที่ผ่านพื้นดินที่ร้อนจัด
เพราะถูกแดดแผดเผา
อากาศก็เลยยกตัวลอยขึ้นไปและหมุนวนเป็นเกลียว (ดูจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ผมขอเดาว่า
พายุบนปกวารสารเล่มนี้น่าจะเป็นแลนด์สเปาท์
เพราะไม่เห็นพื้นน้ำในภาพ)
ใครโชคดีมีโอกาสได้พบเห็นพายุนาคเล่นน้ำนี้
ก็ช่วยเล่าสู่กันฟังบ้าง และหากถ่ายภาพไว้ได้ ก็ลองส่งมาให้เพื่อนๆ
ชมกันบ้างครับ
แนะนำขุมทรัพย์ทางปัญญา
- ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสารสารคดี
- ตีพิมพ์รวมเล่มในหนังสือ Know How & Know Why กฎพิสดาร
ปรากฏการณ์พิศวง
- ดัดแปลงเพื่อนำลงใน G2K เพื่อประโยชน์สาธารณะ
และการอภิปรายประเด็นนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
บันทึกที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ประวัติของบทความ