-------------------------------------------------------
การสร้างสรรค์สั่งสมภูมิปัญญา เป็นกระบวนการเรียนตามธรรมชาติของมนุษย์ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคม การถ่ายทอดความรู้วิชาการต่าง ๆ ในอดีต ส่วนใหญ่ทำด้วยการสาธิตวิธีการ การสั่งสอนด้วยการบอกเล่า (Oral tradition) ในรูปของเพลงกล่อม คำพังเพย สุภาษิต แต่มักไม่มีการสร้างองค์ความรู้ไว้เป็นลายลักษณ์ (Literary tradition) นอกจากศิลปวิทยาการระดับที่มีความสลับซับซ้อน จึงจะใช้ลายลักษณ์ในรูปของตำรา เช่นตำรายา ตำราโหราศาสตร์ ฯลฯ นอกจากการสอนโดยตรงแล้ว ครูพักลักจำ ก็เป็นกระบวนการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งที่มีมาแต่เดิม ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ในทำนองแอบเรียน แอบเอาอย่าง แอบลองทำดู ตามแบบอย่างที่เฝ้าสังเกตเงียบ ๆ แล้วรับเอามาเป็นของตน วิธีนี้ดูเผิน ๆ เป็นเสมือนการลักขโมยสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาของผู้อื่น แต่ในความหมายที่เข้าใจกันหาสื่อความหมายในทางชั่วร้ายไม่ หากเป็นวิธีธรรมชาติธรรมดาของคนไทย ในการเรียนรู้จากผู้อื่น
การเรียนดนตรีไทยก็เช่นเดียวกัน การถ่ายทอดมักทำในรูปลักษณะ มุขปาฐะ โดยทำการถ่ายทอดด้วยการสาธิตวิธีการ การสั่งสอนด้วยการบอกเล่าตัวต่อตัว และวิธีครูพักลักจำ ก็เป็นวิธีการสำคัญที่นักดนตรีทั่วไปนิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้จากคำกล่าวไหว้ครู ยังกล่าวถึงครูพักลักจำว่า “…ไหว้คุณครูผู้ทรงจับมือ ครูฝึกปรือให้ชำนาญเพลงการเก่ง ไหว้ครูพักลักจำแนะนำเพลง…..”
การสอนดนตรีไทยด้วยความทรงจำ ปฏิบัติอย่างจริงจังจนเกิดความชำนาญ จึงเป็นการสอนที่ผู้รับถ่ายทอดต้องมีความทรงจำอย่างดีเลิศ ในอดีตไม่มีเครื่องบันทึกเสียง ไม่มีสัญลักษณ์ช่วยจำที่เป็นโน้ต จึงมีกลุ่มนักดนตรีบางกลุ่มพยายามคิดวิธีช่วยจำของตนเองขึ้น เป็นบทกลอน บาง เป็นคำพังเพยบ้าง เพื่อเป็นการช่วยจำ ซึ่งทำให้สามารถจนจำได้ง่ายขึ้น บางครั้งครูผู้สอนเองก็พยายามคิดหากลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ เพื่อให้ลูกศิษย์สามารถนำไปเป็นเครื่องเตือนความจำเสียงเองด้วย
การเรียนดนตรีไทย จึงมีการสร้างสัญลักษณ์ในการทรงจำเป็นของตนเองขึ้น ซึ่งสร้างได้ทั้งในส่วนของครูผู้สอนและศิษย์ผู้รับการถ่ายทอด อาทิ
๑. กำหนดรูปแบบเทคนิควิธีการบรรเลง เช่น วิธีการแยกเขี้ยว ใช้กับระนาดเอก การโยนซ้าย โยนขวา ใช้กับฆ้องวง เป็นต้น
๒. กำหนดเป็นกลอน (รูปแบบทางเพลง) เพื่อความเข้าใจในการบรรเลงที่ต้องบรรเลงซ้ำ ในเพลง เช่น กลอนหัวแตก สับหัวกระดี่ เป็นต้น
๓. กำหนดเสียง เช่นครู ออกเสียง น้อด นอย หรือ แต่ง ติง แนง แนง แต๊ง ติง แนง แนง เป็นต้น
๔. กำหนดสถานที่ เช่น ร่องกระดาน ลูกฆ้อง (สำหรับเด็กหัวไม่ดี) อยู่ตรงไหน ตีตรงนั้น เป็นต้น (กรณีนี้ไม่ควรนำไปใช้นัก)
๕. กำหนดเป็นบทร้อยกรอง เช่น อีหนูตูดเปรอะ ทำไมถึงตูดเปรอะ ขี้ไม่เช็ดตูด เป็นต้น
ฯลฯ
กลุ่มผู้เรียนดนตรีไทยประเภทเครื่องหนัง ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้เรียนที่ครูผู้สอนทดลองแล้ว ว่าไม่สามารถปฏิบัติเครื่องดนตรีประเภทดำเนินทำนองได้ และมักถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ใช้สมองน้อย จึงหันเหให้เรียน เครื่องหนัง การสอนให้เรียนกลองประเภทต่าง ๆ จึงจำเป็นที่ครูต้องหากลยุทธ์ช่วยจำต่าง ๆ นา ๆ พระราชมุนี(หลวงพ่อเทียม) อดีตเจ้าอาวาสวัดกษัตราธิราชวรวิหาร เดิมเป็นนักดนตรีมาก่อน ท่านมีวิธีสอนตีหน้าทับกลองแขกให้กับศิษย์ เพื่อเป็นการช่วยให้จำง่ายขึ้น โดยใช้สอนให้ผู้เรียนท่องเป็นบทกลอน ซึ่งอาจเกิดด้วยเหตุที่กลอง เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่สามารถทำเสียงเป็นทำนองเพลงได้ เหมือนเครื่องดนตรีดำเนินทำนองอื่น ๆ
“ค่ำ ค่ำ ขนุน หนอน เจาะ คว่ำกิน หงายกิน คว่ำกิน หงายกิน”
เป็นบทกลอนที่ใช้สอนตีกลองแขก สำหรับตีทำนองหลักหน้าทับนางหน่าย แปลง ผู้เรียนจะจดจำง่ายขึ้น เมื่อห่างจากครูไปแล้วยังสามารถจำได้ แม่นยำขึ้นใจ สามารถแปลงเป็นเนื้อกลองได้อย่างชัดเจน ดังนี้
- - - - |
- ค่ำ - ค่ำ |
- - ขนุน |
-หนอน- เจาะ |
- คว่ำ-กิน |
-หงาย-กิน |
- คว่ำ-กิน |
-หงาย-กิน |
จากบทกลอนดังกล่าว สามารถกำหนดเป็นหน้าทับกลอง เพื่อความเข้าใจง่าย ได้ดังนี้
- - - - |
- ทั่ง - ทั่ง |
- - ตลิง |
- ติง - ติง |
- โจ๊ะ - ติง |
- ทั่ง - ติง |
- โจ๊ะ - ติง |
- ทั่ง - ติง |
ไม่มีความเห็น